วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตอนที่ 8.2

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ) ในวันที่ผมทราบผลตรวจชิ้นเนื้อแล้วนั้น ก็มีเพื่อน ๆ พี่ที่มาเยี่ยมให้กำลังใจ ผมไม่มีเวลาได้คิดอะไรมาก เพราะหลังจากนั้นไม่นานผมต้องทำ การตรวจผิวหนัง ตา หู คอ จมูก ต่อทันที
  • ผิวหนัง หมอผิวหนังเข้ามาหาผมที่ห้องพัก เพื่อตรวจว่ามี เม็ดไฝที่ผิดปกติหรือไม่ ต้องตรวจทั่วทั้งตัว พบหนึ่งจุด บริเวณโคนขาหนีบด้านขวา ทำการตัดเอาเม็ดไฝนั้นไป ฉีดยาชา ตัด และเย็บ 1 เข็ม ผลตรวจต้องรออีก 1 สัปดาห์
  • ตา "ลักษณะของคุณไม่เคยเจอเลย" จักษุแพทย์บอก "ตกลงผมโชคดีหรือโชคร้ายครับหมอ" ผมถามกลับไป "เจอน้อยมาก" จักษุแพทย์ตอบกลับ การตรวจตานั้นจะเป็นการทำให้ม่านตาขยาย เพื่อจะได้ส่องเข้าไปดูด้านหลังของลูกตาซึ่งเป็นจุดรวมของเม็ดสี การทำให้ม่านตาขยาย ก็โดยการหยอดยาเข้าไปที่ตา ซึ่งยาที่ใช้หยอดนั้นค่อนข้างแสบมาก ต้องทำการหยอดทุก ๆ 5 นาที จนกว่าม่านตาจะขยาย จากนั้นก็ใช้ไฟส่องเข้ามาดูในลูกตา ผลของการหยอดตาจะทำให้ตาพร่ามัวอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
  • หู การตรวจก็ไม่ยุ่งยากอะไรมาก ใช้ไฟส่องเข้าไปในรูหูเพื่อดูว่ามีก้อนเนื้อหรือไม่ ใช้เวลาไม่นาน
  • จมูก การตรวจจะใช้ผ้าชุบน้ำยาซึ่งมีกลิ่นฉุนมากยัดเข้าไปในรูจมูก ลักษณะน่าจะเป็นยาชา จากนั้นก็ใช้กล่องส่องเข้าไปตรวจดูก้อนเนื้อหรือไม่
  • คอ การตรวจจะใช้การพ่นยาชาเข้าไปในปาก รสชาดขมมาก แล้วใช้กล้องส่องเข้าไปตรวจดู หมอแจ้งว่า "พบลักษณะคล้าย ๆ เนื้อปูดมา ไม่แน่ใจว่าเป็นเส้นเลือด อาจจะต้องรอดูผลของผิวหนัง หากผิวหนังปกติ ก็อาจจะต้องตัดเอาตรงนี้ไปตรวจอีก ซึ่งการตัดนี้จะไม่มีการเย็บ เลือดที่ไหลจะใช้วิธีการบ้วนปากออกอย่างเดียว""  ได้ฟังแค่ว่ามีเลือดไหลและไม่มีการเย็บผมก็เลยบอกไปว่า "ไม่ตัดได้หรือไม่"  "แล้วแต่คนไข้ แต่ก็ต้องดูผลของผิวหนังก่อน จากนั้นว่ากันอีกที"  หมอแจ้ง 
ผลการตรวจต่าง ๆ นั้น ไม่พบอะไรผิดปกติ รวมถึงเรื่องของเม็ดไฝที่ตัดเอาไปตรวจด้วย (ทราบภายหลัง) และผมก็ไม่ได้ตรวจหรือตัดหรือทำการอย่างใดบริเวณที่คอด้วยเหมือนกัน ผมต้องนอนที่โรงพยาบาลอีก 1 วัน เพราะใช้เวลาในการตรวจ ตา หู จมูก คอ เสร็จก็เกือบ 5 โมงเย็น อีกทั้งผลข้างเคียงจากการหยอดตาด้วย

คงไม่มีใครที่เมื่อได้รับรู้ว่าเป็นโรคที่ไม่มีใครอยากจะเป็นจะมีสติอยู่ได้ ผมก็เช่นเดียวกัน ช่วงที่อยู่คนเดียวผมสามารถอยู่แบบนิ่ง ๆ ได้ แต่เมื่อไรมีคนมาหาเพื่อพูดคุย รู้สึกมันพูดอะไรไม่ออก แม้ผมรู้ว่าผมเป็นมะเร็ง ใจผมไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมะเร็งเลย ความรู้สึกนึกคิด ณ.เวลานั้นคือ "ผมยังมีลมหายใจ ยังสามารถเดินได้ กินข้าวได้ เป็นมะเร็งคงไม่ได้ตายในวันนี้ วันพรุ่งนี้ ผมไม่อยากจะไปรักษาด้วยซ้ำไป" แต่นั้นก็เป็นแค่ความคิด ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ผมยังมีความฝันที่อยากจะทำให้มันกลายเป็นจริง ก่อนที่จะไม่ได้ทำ


(ตามต่อตอนที่ 8.3)

4 ความคิดเห็น:

  1. แต่หัวใจยังเต้น ร้อนหรือเย็นต้องผ่าน

    ตอบลบ
  2. ชอบข้อความพี่ Lam Merison จัง

    ตอบลบ
  3. ร่างกายจะไม่อ่อนแอ..และสามารถยืนหยัดอยู่ร่วมกับสิ่งที่เป็นได้..ตราบที่หัวใจยังแข็งแกร่ง..สู้ๆ ผ่านไปให้ได้นะคะ

    ตอบลบ
  4. วันก่อนหนูอ่านสเตตัสเพื่อนสมัย ม.ต้น ว่าต้นปี เค้าเป็นมะเร็งที่มดลูก แล้วลุกลาม
    หลังจากตั้งสติได้ เข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกนั้นออกไป รักษาหลายวิธี
    เลยเบี่ยงเบนความเครียดออกไปด้วยการ ไปเรียนทำเค้ก
    รูปเฟอร์บี้บ้าง กระเป๋าหลุยส์ แก้วเบียร์บ้าง บ้าบอทำอย่างไม่คิดชีวิต
    ผลตรวจล่าสุด 1 เมษาที่ผ่านมา มะเร็งที่ลุกลาม อันตรธานหายไปจากร่างกาย

    โรคนี้ เป็นเรื่องของใจ ล้วน ๆ ใจพี่สู้ พี่ก็ชนะมัน เอาใจช่วยพี่ชายของหนูนะ สู้ ๆ

    ตอบลบ