วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 6



...ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง จะคิดถึงและคอยห่วงใย ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องไห้ ขอเพียงมีใครปลอบใจสักคน....
....ในวันที่โลกร้าง ความหวังให้วาด มันขาดมันหาย ใครจะช่วยเติมเพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้งบนหนทางไกล....
....กำลังใจ....จากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฝันให้ใฝ่ ให้ชีวิตได้มีแรงใจ ให้ดวงใจลุกโชนความหวัง ....
....กำลังใจ.... จากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฉันได้ไหม ดั่งหยาดฝนบนฝากฟ้าไกล ที่หยาดริน...สู่พื้นดินแห้งผาก (เพลงกำลังใจ วงโฮป)
ทุกเรื่องจะสำเร็จได้ด้วยใจ หากสามารถทำใจได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างก็สามารถผ่านไปได้ บนโลกใบนี้จริง ๆ แล้วเราอยู่กับสิ่งที่สมมุติขึ้น ประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (จิต, ใจ, มโน) หากเราวางสิ่งสมมุติที่ว่านี้ได้ ไม่ไปยึดมั่นถือมั่น ก็คือการทำใจ เราก็จะสามารถปล่อยวางได้ในทุกเรื่อง ภิกษุทั้งหลาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม), นั่นไม่ใช่เรา (เนโสหมสฺมิ), นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) (ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘/๔๒.) ผมก็กำลังพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อไปให้ถึงจุด ๆ นั้น

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ)  หลังจากที่ผมทราบว่าต้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว  ผมก็ครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบ หลังจากที่สติหลุดไปพักใหญ่ ระยะเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง เป็นอะไรที่ทรมานมาก เอาง่าย ๆ หากเราต้องไปนั่งรอเพื่อนที่นัดไว้ เมื่อถึงเวลานัดเพื่อนยังไม่มา แม้เพียงแค่ 15 นาทีก็ถือว่านานมากแล้ว นี่ตั้ง 6 ชั่วโมง ผมจะทำอะไร สิ่งที่ผมทำอยู่ตลอด ณ.ขณะนั้นคือ พยายามรู้ลมหายใจเข้า-ออก นั่งนึกในใจของกฏอิทัปปัจยตา อยู่เรื่อย ๆ คอยหยุดความคิดต่าง ๆ ที่เข้ามา เวลาก็ผ่านไปอย่างช้า ๆ ไม่นานผู้ที่มาหาผมเป็นคนแรกหรือกลุ่มแรกก็คือ ผู้บังคับบัญชา (ขออนุญาตเอ่ยนาม) คุณสันติ ปราบณรงค์ คุณอเนก แก้วกระจ่าง  คำแรกที่พูดกับผมคือ “เดี๋ยวก็หาย” เท่านั้นแหละสติผมหลุดอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมต่อมน้ำตามันตื้นมากช่วงนั้น จะด้วยความตื้นตัน หรืออะไรก็บอกไม่ถูก ผมได้แต่บอกว่า "มันด่วนจนตั้งตัวไม่ทัน" (เพราะความคิดเก่าที่ว่า เป็นคนแข็งเรงไม่ป่วยอะไรง่าย ยังย้ำอยู่ในความคิดผมตลอด) จากนั้นกำลังใจจากเพื่อน พี่น้องที่ทำงานก็หลั่งไหลมาสู่ผม

เวลา 20.30 น ผมเข้าสู่ห้องผ่าตัด และก็ต้องอยู่บนเตียง นอนดูเพดานเพื่อรอเวลา ไม่รู้ด้วยว่าต้องรอนานแค่ไหน ได้แต่นึกถึงลมหายใจเข้า-ออก และพยายามหยุดละความคิดต่าง ๆ ให้ได้ เห็นก็แต่พยาบาลแว่บ ๆ เดินผ่านไปมา และแล้วผมก็รู้ว่านี่คือเวลาที่จะต้องจดจำไว้ เมื่อพยาบาลเข็นเตียงผม เข้าไปยังบริเวณผ่าตัดที่เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ผมจำได้แค่ว่า ณ.บริเวณนั้นค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร พยาบาลบางคนก็ถอดชุดผมออก บางคนก็อ่านรายละเอียดของการผ่าตัด มีหมอ (น่าจะเป็นหมอวิสัญญี)  เข้ามาไกล้ ๆ เตียง เรียกชื่อพร้อมกับพยาบาลส่งเข็มฉีดยาให้  หมอเจ้าของไข้ ก็เข้ามาพร้อมกับพูดกับผมเรื่องการผ่าตัด ไม่ถึง 1 นาที เปลือกตาผมก็ปิดลง

ผมมารู้สึกตัวอีกครั้ง ว่าผมถูกเข็นไปตามทางเดิน พยาบาลพูดกับผมว่า “คนไข้ยกขาได้ไหม” ผมก็ยกขาขึ้นตามคำสั่ง จากนั้นผมก็ถามว่า “เวลากี่โมงแล้ว” พยาบาลก็ตอบว่า “ประมาณตีสี่” โอ้...จากสามทุ่มถึงตีสี่เลยเหรอเนี่ยที่ผมอยู่ในห้องผ่าตัด เหมือนหลับไปและตื่นขึ้น ผมออกจากห้องผ่าตัดมายังห้องพักฟื้น จากนั้นก็สลึมสลือ ไปจนกระทั่งเช้า โชคดีของผมในการผ่าตัดครั้งนี้คือ ผมไม่ค่อยรู้สึกปวดบริเวณที่ผ่าตัดเท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเรื่องของยาแก้ปวดที่ฉีดไว้หรือไม่ก็ไม่แน่ชัดอีกอย่าง ผมสามารถกินอาหารต่าง ๆ ได้ตามปกติ ทำให้ร่างกายผมไม่ค่อยอ่อนแรงเท่าไรนัก นับว่าการผ่าตัดเนื้องอกที่ทำให้ผมไม่สามารถเดินได้ผ่านไปได้อย่างดี


หมายเหตุ : การผ่าตัดด้านหลัง หมอแจ้งว่า ต้องยกกระดูกสันหลังออก 2 ชิ้น เพื่อให้สามารถเลาะเอาเนื้องอกออกได้ แล้วจึงใส่คืนทำให้ต้องมัดลวดเข้าที่ด้านหลังผมไว้สองเส้นเพื่อยึดกระดูกดังกล่าว (หมอแจ้งหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว)

(ตามต่อตอนที่ 7 นะครับ)

4 ความคิดเห็น:

  1. ตอนนี้ยังเจ็บแผลที่ผ่ามั๊ยคะ

    มาเร็ว ๆ หน่อยได้มั๊ยคะ แต่ละตอน แฟนบล็อกรอน๊านนานนนน

    สู้ ๆ นะพี่ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งท้อแท้มากเท่าไหร่ กำลังใจยิ่งต้องมี

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ออกวิ่งเบา ๆ ได้เกือบสองอาทิตย์ ตามด้วยปั่นแบบวอร์ม ๆ แล้วครับท่าน
      ขอบคุณครับ

      ลบ
  2. เข้ามาอ่านอย่างตื่นเต้น

    พี่ต๋องเหมือนผมอย่างนึงคือ "คิดว้าตัวเองแข็งแรงดี ไม่น่าจะมีโรคภัยอะไร"

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ใช่ท่าน แต่ก็ต้องมีโรค ไม่ใช่โรคภัยธรรมดาด้วยครับ

      ลบ