ธรรม ๕ ประการสำหรับผู้เจ็บไข้ ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุ :-
- เป็นผู้มีปกติตามเห็นความไม่งามในกาย อยู่ (อสุภานุปสฺสี กาเย วิหรติ)
- เป็นผู้มีความสำคัญว่าปฏิกูลในอาหาร อยู่ (อาหาเร ปฏิกฺกูลสญฺญี)
- เป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง อยู่ (สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญี)
- เป็นผู้มีปกติตามเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง อยู่ (สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสี)
- มรณสัญญาอันเขาตั้งไว้ดีแล้วในภายใน อยู่ (มรณสญฺญา โข ปนสฺน อชฺฌตฺตํ สูปฏฐิตา โหติ)
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ ไม่เว้นห่างไปเสียจากคนเจ็บไข้ทุพพลภาพคนใด ข้อนี้เป็นสิ่งที่เขาผู้นั้นพึงหวังได้ คือเขาจักกระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ ต่อกาลไม่นานเทียว (ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๒๘/๑๒๑)
2 จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ) ผมออกจากโรงพยาบาลและกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อรอทางโรงพยาบาลจะติดต่อกลับมา เพื่อแจ้งเรื่องของการรักษาตัวต่อจากนี้ไป
หมอเจ้าของไข้เพียงแค่แจ้งให้ผมรับทราบคร่าว ๆ เท่านั้นว่า “ต้องทำการรักษาในจุดที่พบเนื้องอกที่ได้ทำการผ่าตัดออกไปแล้ว”
แต่วิธีการยังไงไม่รู้ ความมืดมิดปกคลุมผมอีกครั้งว่าจะไปต่อทางไหน
มีหลากหลายการรักษาที่เข้ามาให้ผมได้รู้จักทั้งการรักษาแพทย์ปัจจุบันคือ
การบำบัดโดยให้เคมี และการฉายรังสี หรือการรักษาโดยแพทย์ทางเลือกทั้งสมุนไพรจีน
สมุนไพรไทย และอื่น ๆ อีกมากที่กัลยาณมิตรที่หวังดีต่าง
ๆ ได้ให้ความรู้ แล้วเราจะเลือกแบบไหนหละ
วันที่ 27 กุมภาพันธ์
2556 ผมไปที่สถานพยาบาลมะเร็ง กรุงเทพฯ ตามที่ได้รับแจ้งจากประกันสังคม
ให้ไปรับการรักษาตัวต่อ ผมถึงที่หมายเวลาประมาณ 10 โมงเช้า จริง
ๆ แล้วตามใบนัดหมอที่นั่นคือ 13:00 น. แต่อยากไปก่อนเพราะด้วยความไม่รู้ ที่นี้บรรยากาศก็เหมือนกับโรงพยาบาลทั่วไปแต่เล็กกว่าเพราะมีแต่คนไข้พิเศษ
ผมติดต่อที่เคาน์เตอร์ยื่นใบนัดพร้อมเอกสารต่าง ๆ
พยาบาลก็ทำการตรวจตามปกติชั่งน้ำหนัก วัดความดัน
ทำบัตรประจำตัวคนไข้เสร็จก็นั่งรอเวลาเข้าพบหมอ ขณะที่รอนั้นเท่าที่สังเกตเห็น คนไข้ที่เข้ามารักษาที่นี่ส่วนใหญ่จะรู้จักกันพูดคุยกันอย่างไม่มีที่ท่าว่า
“เราเป็นพวกโรคร้ายที่คนหวาดกลัวกัน” บางคนเมื่อได้รับการรักษาแล้วก่อนกลับก็ทักทายร่ำรากันราวกับคนปกติทั่วไป
มีคนไข้ผู้สูงอายุท่านหนึ่งดูท่าทางยังแข็งแรง หันมาพูดคุยเล่าให้ฟังว่า
“ผมเป็นทหารเรือ เกษียณแล้ว พอดีจับที่บริเวณคอมีเนื้อนูน ๆ ออกมาเลยไปตรวจแล้วพบว่าเป็นมะเร็ง
(ผมไม่ได้ถามว่าเป็นมะเร็งอะไร) มารักษาฉายแสง (รังสี) ไปแล้ว 15 ครั้ง จะต้องฉายแสงทั้งหมด 30 ครั้ง
ใครถามผมเป็นอะไร ผมตอบไปเลยว่า ผมเป็นมะเร็ง อยู่บ้านผมก็ใช้ชีวิตปกติ หิวก็กิน
ง่วงก็นอน ไม่ต้องกังวลอะไร แบบสบาย ๆ” ผมนั่งฟังแกเล่าไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคิดว่า
“ขนาดแกยังต้องรักษาแบบฉายแสงตั้ง 30 ครั้ง
แล้วผมจะต้องฉายแสงเท่ากันหรือเปล่า” ผมกังวลในเรื่องของการรักษาตัว เพราะผมจะต้องมาอยู่กรุงเทพเลยไหม
การฉายแสงก็ต้องฉายต่อเนื่องติดต่อกัน แล้วผลข้างเคียงจะมีอะไรบ้าง ขณะนั้นผมยอมรับว่าจิตเริ่มคิดไปหลายอย่าง
แต่ก็พยายามกลับมาให้รู้ตัวอยู่กับลมหายใจเท่าที่จะสามารถทำได้
เวลา 13:00 น.
โดยประมาณ ผมได้คิวที่สองในการพบหมอ (เป็นผลมาจากการมาถึงสถานที่เร็วกว่าเวลานัดหมาย) หมอตรวจดูฟิลม์เอกซ์เรย์ พร้อมอ่านใบสรุปผลที่หมอเจ้าของไข้ส่งมา
“ผ่าตัดก้อนเนื้อออกแล้วนะ ขอดูแผลหน่อย ก็ดูดีนะ
คิดว่าหมอที่ผ่าตัดคงพยายามเอาก้อนเนื้อออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในส่วนของการรักษาก็จะเป็นการฉายแสง
ซึ่งก็ไม่มีอันตราย แต่บริเวณที่ฉายแสงนั้นอาจจะเกิดลักษณะคล้ำซึ่งเกิดจากการไหม้ของผิวหนัง
แต่ไม่เจ็บแต่อย่างใดนะ จะฉายแสงทั้งหมด 10 ครั้ง โดยฉายแสง 5
วันต่อเนื่อง หยุด 2 วัน
แล้วทำการฉายแสงใหม่จนครบ มีอะไรจะถามไหม” หมอพูดกับผม
“แล้วระยะมะเร็งของผมเป็นระยะที่เท่าไรครับ” ผมถามเท่านี้
เพราะแค่ผมได้ยินว่าผมต้องฉายแสงแค่ 10 ครั้ง
ผมก็ดีใจจนนึกคำถามไม่ออกแล้ว “ดูตามลักษณะขนาดของก้อนเนื้อ ก็เป็นระยะที่ 4
นะ มีอย่างอื่นถามอีกไหม” หมอตอบผม “ไม่มีครับ” ผมตอบ
“งั้นวันนี้ก็ฉายแสงเลยนะ” หมอแจ้ง
ผมเดินออกจากห้องตรวจด้วยความโล่งใจ ในระยะเวลาที่ผมจะต้องได้รับแสงรังสีที่ไม่มาก พยาบาลแจ้งเรื่องของการฉายรังสีพร้อมการนัดหมายต่าง
ๆ และให้นั่งรอเพื่อดำเนินการต่อไป
ความเครียดหรือความกังวลหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
บ่อยครั้งเกิดจากที่เราคาดการณ์ ล่วงหน้า
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในทางที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล
บทเรียนในการเป็นมะเร็งของผมในครั้งนี้ทำให้เข้าใจจิตของผมมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังเข้าใจความข้อเท็จจริงที่ว่า
“อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า”