วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 9.1


ธรรม ๕ ประการสำหรับผู้เจ็บไข้ ? 
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุ :-

  • เป็นผู้มีปกติตามเห็นความไม่งามในกาย อยู่ (อสุภานุปสฺสี กาเย วิหรติ)
  • เป็นผู้มีความสำคัญว่าปฏิกูลในอาหาร อยู่ (อาหาเร ปฏิกฺกูลสญฺญี)
  • เป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง อยู่ (สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญี)
  • เป็นผู้มีปกติตามเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง อยู่ (สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสี)
  • มรณสัญญาอันเขาตั้งไว้ดีแล้วในภายใน อยู่ (มรณสญฺญา โข ปนสฺน อชฺฌตฺตํ สูปฏฐิตา โหติ)

ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ ไม่เว้นห่างไปเสียจากคนเจ็บไข้ทุพพลภาพคนใด ข้อนี้เป็นสิ่งที่เขาผู้นั้นพึงหวังได้ คือเขาจักกระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ ต่อกาลไม่นานเทียว (ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๒๘/๑๒๑)


2 จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ) ผมออกจากโรงพยาบาลและกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อรอทางโรงพยาบาลจะติดต่อกลับมา เพื่อแจ้งเรื่องของการรักษาตัวต่อจากนี้ไป หมอเจ้าของไข้เพียงแค่แจ้งให้ผมรับทราบคร่าว ๆ เท่านั้นว่า “ต้องทำการรักษาในจุดที่พบเนื้องอกที่ได้ทำการผ่าตัดออกไปแล้ว” แต่วิธีการยังไงไม่รู้ ความมืดมิดปกคลุมผมอีกครั้งว่าจะไปต่อทางไหน มีหลากหลายการรักษาที่เข้ามาให้ผมได้รู้จักทั้งการรักษาแพทย์ปัจจุบันคือ การบำบัดโดยให้เคมี และการฉายรังสี หรือการรักษาโดยแพทย์ทางเลือกทั้งสมุนไพรจีน สมุนไพรไทย  และอื่น ๆ อีกมากที่กัลยาณมิตรที่หวังดีต่าง ๆ ได้ให้ความรู้ แล้วเราจะเลือกแบบไหนหละ


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 ผมไปที่สถานพยาบาลมะเร็ง กรุงเทพฯ ตามที่ได้รับแจ้งจากประกันสังคม ให้ไปรับการรักษาตัวต่อ ผมถึงที่หมายเวลาประมาณ 10 โมงเช้า จริง ๆ แล้วตามใบนัดหมอที่นั่นคือ 13:00 น. แต่อยากไปก่อนเพราะด้วยความไม่รู้ ที่นี้บรรยากาศก็เหมือนกับโรงพยาบาลทั่วไปแต่เล็กกว่าเพราะมีแต่คนไข้พิเศษ ผมติดต่อที่เคาน์เตอร์ยื่นใบนัดพร้อมเอกสารต่าง ๆ  พยาบาลก็ทำการตรวจตามปกติชั่งน้ำหนัก วัดความดัน ทำบัตรประจำตัวคนไข้เสร็จก็นั่งรอเวลาเข้าพบหมอ ขณะที่รอนั้นเท่าที่สังเกตเห็น คนไข้ที่เข้ามารักษาที่นี่ส่วนใหญ่จะรู้จักกันพูดคุยกันอย่างไม่มีที่ท่าว่า “เราเป็นพวกโรคร้ายที่คนหวาดกลัวกัน” บางคนเมื่อได้รับการรักษาแล้วก่อนกลับก็ทักทายร่ำรากันราวกับคนปกติทั่วไป มีคนไข้ผู้สูงอายุท่านหนึ่งดูท่าทางยังแข็งแรง หันมาพูดคุยเล่าให้ฟังว่า “ผมเป็นทหารเรือ เกษียณแล้ว พอดีจับที่บริเวณคอมีเนื้อนูน ๆ ออกมาเลยไปตรวจแล้วพบว่าเป็นมะเร็ง (ผมไม่ได้ถามว่าเป็นมะเร็งอะไร) มารักษาฉายแสง (รังสี) ไปแล้ว 15 ครั้ง จะต้องฉายแสงทั้งหมด 30 ครั้ง ใครถามผมเป็นอะไร ผมตอบไปเลยว่า ผมเป็นมะเร็ง อยู่บ้านผมก็ใช้ชีวิตปกติ หิวก็กิน ง่วงก็นอน ไม่ต้องกังวลอะไร แบบสบาย ๆ” ผมนั่งฟังแกเล่าไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคิดว่า “ขนาดแกยังต้องรักษาแบบฉายแสงตั้ง 30 ครั้ง แล้วผมจะต้องฉายแสงเท่ากันหรือเปล่า” ผมกังวลในเรื่องของการรักษาตัว เพราะผมจะต้องมาอยู่กรุงเทพเลยไหม การฉายแสงก็ต้องฉายต่อเนื่องติดต่อกัน แล้วผลข้างเคียงจะมีอะไรบ้าง ขณะนั้นผมยอมรับว่าจิตเริ่มคิดไปหลายอย่าง แต่ก็พยายามกลับมาให้รู้ตัวอยู่กับลมหายใจเท่าที่จะสามารถทำได้


เวลา 13:00 น. โดยประมาณ ผมได้คิวที่สองในการพบหมอ (เป็นผลมาจากการมาถึงสถานที่เร็วกว่าเวลานัดหมาย) หมอตรวจดูฟิลม์เอกซ์เรย์ พร้อมอ่านใบสรุปผลที่หมอเจ้าของไข้ส่งมา “ผ่าตัดก้อนเนื้อออกแล้วนะ ขอดูแผลหน่อย ก็ดูดีนะ คิดว่าหมอที่ผ่าตัดคงพยายามเอาก้อนเนื้อออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในส่วนของการรักษาก็จะเป็นการฉายแสง ซึ่งก็ไม่มีอันตราย แต่บริเวณที่ฉายแสงนั้นอาจจะเกิดลักษณะคล้ำซึ่งเกิดจากการไหม้ของผิวหนัง แต่ไม่เจ็บแต่อย่างใดนะ จะฉายแสงทั้งหมด 10 ครั้ง โดยฉายแสง 5 วันต่อเนื่อง หยุด 2 วัน แล้วทำการฉายแสงใหม่จนครบ มีอะไรจะถามไหม” หมอพูดกับผม “แล้วระยะมะเร็งของผมเป็นระยะที่เท่าไรครับ” ผมถามเท่านี้ เพราะแค่ผมได้ยินว่าผมต้องฉายแสงแค่ 10 ครั้ง ผมก็ดีใจจนนึกคำถามไม่ออกแล้ว “ดูตามลักษณะขนาดของก้อนเนื้อ ก็เป็นระยะที่ 4 นะ มีอย่างอื่นถามอีกไหม” หมอตอบผม “ไม่มีครับ” ผมตอบ “งั้นวันนี้ก็ฉายแสงเลยนะ” หมอแจ้ง ผมเดินออกจากห้องตรวจด้วยความโล่งใจ ในระยะเวลาที่ผมจะต้องได้รับแสงรังสีที่ไม่มาก พยาบาลแจ้งเรื่องของการฉายรังสีพร้อมการนัดหมายต่าง ๆ และให้นั่งรอเพื่อดำเนินการต่อไป

ความเครียดหรือความกังวลหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรา บ่อยครั้งเกิดจากที่เราคาดการณ์ ล่วงหน้า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในทางที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล บทเรียนในการเป็นมะเร็งของผมในครั้งนี้ทำให้เข้าใจจิตของผมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเข้าใจความข้อเท็จจริงที่ว่า
“อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า”

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 8.3



2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ)  หลังจากที่ผมทราบว่าผมเป็นมะเร็งผิวหนังนั้น บอกตามตรงว่าที่ผมไม่รู้สึกว่าเป็นมะเร็งอาจจะเป็นไปได้ที่ว่า เราไม่เคยรู้จักมะเร็งชนิดนี้ ส่วนใหญ่ก็จะได้ยินแต่ มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งต่อมอัณฑะ มะเร็งปอด มะเร็งตับ แล้วไอ้มะเร็งของเรานี้มันเป็นอย่างไร เท่าที่เคยได้ยินมันต้องเกิดกับบุคคลที่มีผิวสีขาว และมีการถูกแสงแดดมาก แล้วอย่างเราผิวก็ออกจะดำทำไม่เป็นได้ หมอผิวหนังได้อธิบายให้ฟังว่า "ไม่แน่เสมอไปสำหรับเรื่องของสีผิว ส่วนแสงแดดก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด อาจจะมาจากพ่อแม่สายโลหิตที่เป็นมะเร็งมาก่อน เซลล์ของเราก็มีเชื้อมาแล้ว รอเพียงปัจจัยต่าง ๆ ที่พร้อมมันก็สามารถคุกคามเราได้" ผมก็ได้แต่หาข้อมูลของมะเร็งผิวหนังซึ่งก็ไม่ใช่ที่ไหนที่ให้ข้อมูลได้คือ อาจารย์กู google นั่นเอง อยากให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลด้วยว่ามะเร็งผิวหนังเป็นอย่างไร

ที่มาของแหล่งข้อมูล http://www.yourhealthyguide.com/article/ac-skin.html
มะเร็งผิวหนัง เป็นมะเร็งที่สามารถพบได้เร็วกว่ามะเร็งชนิดอื่น เนื่องจากเห็นได้จากภายนอก สามารถรักษาให้หายขาดได้ ธรรมชาติของมะเร็งผิวหนังจะขยายตัวค่อนข้างช้าอาจนานถึง 5-6 ปี แต่ถ้าไม่รักษาจะมีผลต่ออวัยวะใกล้เคียงไปจนถึงเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

  • มะเร็งผิวนังมีลักษณะอย่างไร
1. ผื่นแอคตินิค เคราโตซิล (Actnic Keratisis = AKS) เป็นการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิวหนังที่ผิดปกติ โดยมีลักษณะเป็นผื่นขุย ๆ มักพบบริเวณหน้า แขน ลำตัว หลังมือ หรือบริเวณที่ได้รับแสงแดดมาก ถ้าไม่รักษาจะกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้
2. มะเร็งบาซอล เซลล์-คาร์ซิโนมา (Basal Cell Carcinima = BCC) เป็นมะเร็งผิวหนังที่ร้ายแรงน้อย เพราะเกิดบริเวณชั้นตื้น ๆ มักเกิดการทำลาย เพราะบริเวณตำแหน่งที่เป็น ถ้าเป็นบริเวณใกล้เคียงอวัยวะที่สำคัญ เช่น ตา จมูก ปาก หู อาจทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะนั้นได้ มะเร็งชนิดนี้มักพบบริเวณ หู จมูก ใบหน้า หน้าอก หลัง ลักษณะที่พบมีหลายแบบ
    •  เป็นก้อนเนื้อนูนสีเดียวกับผิวหนัง หรือชมพูใส มีขอบ อาจมีเลือดออกบ่อย ๆ
    • ลักษณะคล้ายสิว เป็น ๆ หาย ๆ มักมีเลือดออก
    • ลักษณะเป็นก้อนแบนแข็งติดกับผิวหนัง
    • ลักษณะเป็นก้อนขุย มีสะเก็ดดำเลือดออก 
อาการที่สำคัญคือ มีการระคายเคือยบริเวณก้อนเนื้อ แผลเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ มีเลือดออก
3. มะเร็งสะแควมัส เซลล์ คาร์ซิโนมา (Squamous Cell Carcinoma = SCC) ลักษณะคล้ายกับมะเร็งบาซอล เซลล์ คาร์ซิโนมา การลุกลามมักเร็วกว่ามะเร็งชนิด บาซอลเซลล์ คาร์ซิโนมา มักจะลุกลามด้านล่างของเซลล์ผิวหนัง ถ้าคลำดูผิวหนังด้านล่างมักจะพบว่าเป็นก้อนแข็ง ๆ
4. มะเร็งแมลิกเเนนท์ เมลาโนมา (Malignant Melanoma) ลักษณะคล้ายไฝตำ แต่จะกระจายอย่างรวดเร็วสู่อวัยวะภายใน สามารถทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว จัดเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงที่สุด

มะเร็งบาซอล เซลล์-คาร์ซิโนมา และมะเร็งสะแควมัส เซลล์ คาร์ซิโนมา พบได้ตั้งแต่ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป มักพบบ่อยในผู้ที่มีอายุ 60-80 ปี

แค่ย่อหน้าแรก ผมไม่เห็นจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพบได้ง่าย (ถ้าไม่ผ่าตัดก็คงไม่รู้) แต่ผมก็เป็นไปแล้ว สำหรับในกรณีของผมมะเร็งผิวหนังที่ผมเป็นคือ หมอวินิจฉัยว่าเป็น Malignant Melanoma ซึ่งเทียบกับข้อมูลที่ได้คือ มะเร็งผิวหนังชนิดที่ 4 นี้เอง ช่วงที่ผมอยู่โรงพยาบาลผมไม่รู้ว่ามันเป็นชนิดร้ายแรง มารู้ก็ต่อเมื่อค้นหาข้อมูลนี้แหละ เพราะแม้แต่หมอเจ้าของไข้ หรือหมอผิวหนังก็ไม่สามารถบอกรายละเอียดให้ผมได้มาก (หรือว่ากลัวผมจะตกใจ) ก็จริงเมื่อทราบข้อมูลที่ว่าจิตผมเริ่มตกอีกครั้ง แต่เพราะได้ฟังพุทธวจนอยู่เนือง ๆ เสพคบอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราคิดได้ว่า
"เพราะทุกอย่างนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่ร่างกาย (รูป) นี้ก็ไม่ใช่ของเรา หากมะเร็งมันอยากจะเอาไปก็ให้มันไป"

คิดได้แค่นี้ ก็ไม่ทุกข์ ไม่สุข อยู่อย่างเฉย ๆ ชีวิตก็ดำเนินต่อไปได้

(ตามต่อตอนที่ 9)

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตอนที่ 8.2

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ) ในวันที่ผมทราบผลตรวจชิ้นเนื้อแล้วนั้น ก็มีเพื่อน ๆ พี่ที่มาเยี่ยมให้กำลังใจ ผมไม่มีเวลาได้คิดอะไรมาก เพราะหลังจากนั้นไม่นานผมต้องทำ การตรวจผิวหนัง ตา หู คอ จมูก ต่อทันที
  • ผิวหนัง หมอผิวหนังเข้ามาหาผมที่ห้องพัก เพื่อตรวจว่ามี เม็ดไฝที่ผิดปกติหรือไม่ ต้องตรวจทั่วทั้งตัว พบหนึ่งจุด บริเวณโคนขาหนีบด้านขวา ทำการตัดเอาเม็ดไฝนั้นไป ฉีดยาชา ตัด และเย็บ 1 เข็ม ผลตรวจต้องรออีก 1 สัปดาห์
  • ตา "ลักษณะของคุณไม่เคยเจอเลย" จักษุแพทย์บอก "ตกลงผมโชคดีหรือโชคร้ายครับหมอ" ผมถามกลับไป "เจอน้อยมาก" จักษุแพทย์ตอบกลับ การตรวจตานั้นจะเป็นการทำให้ม่านตาขยาย เพื่อจะได้ส่องเข้าไปดูด้านหลังของลูกตาซึ่งเป็นจุดรวมของเม็ดสี การทำให้ม่านตาขยาย ก็โดยการหยอดยาเข้าไปที่ตา ซึ่งยาที่ใช้หยอดนั้นค่อนข้างแสบมาก ต้องทำการหยอดทุก ๆ 5 นาที จนกว่าม่านตาจะขยาย จากนั้นก็ใช้ไฟส่องเข้ามาดูในลูกตา ผลของการหยอดตาจะทำให้ตาพร่ามัวอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
  • หู การตรวจก็ไม่ยุ่งยากอะไรมาก ใช้ไฟส่องเข้าไปในรูหูเพื่อดูว่ามีก้อนเนื้อหรือไม่ ใช้เวลาไม่นาน
  • จมูก การตรวจจะใช้ผ้าชุบน้ำยาซึ่งมีกลิ่นฉุนมากยัดเข้าไปในรูจมูก ลักษณะน่าจะเป็นยาชา จากนั้นก็ใช้กล่องส่องเข้าไปตรวจดูก้อนเนื้อหรือไม่
  • คอ การตรวจจะใช้การพ่นยาชาเข้าไปในปาก รสชาดขมมาก แล้วใช้กล้องส่องเข้าไปตรวจดู หมอแจ้งว่า "พบลักษณะคล้าย ๆ เนื้อปูดมา ไม่แน่ใจว่าเป็นเส้นเลือด อาจจะต้องรอดูผลของผิวหนัง หากผิวหนังปกติ ก็อาจจะต้องตัดเอาตรงนี้ไปตรวจอีก ซึ่งการตัดนี้จะไม่มีการเย็บ เลือดที่ไหลจะใช้วิธีการบ้วนปากออกอย่างเดียว""  ได้ฟังแค่ว่ามีเลือดไหลและไม่มีการเย็บผมก็เลยบอกไปว่า "ไม่ตัดได้หรือไม่"  "แล้วแต่คนไข้ แต่ก็ต้องดูผลของผิวหนังก่อน จากนั้นว่ากันอีกที"  หมอแจ้ง 
ผลการตรวจต่าง ๆ นั้น ไม่พบอะไรผิดปกติ รวมถึงเรื่องของเม็ดไฝที่ตัดเอาไปตรวจด้วย (ทราบภายหลัง) และผมก็ไม่ได้ตรวจหรือตัดหรือทำการอย่างใดบริเวณที่คอด้วยเหมือนกัน ผมต้องนอนที่โรงพยาบาลอีก 1 วัน เพราะใช้เวลาในการตรวจ ตา หู จมูก คอ เสร็จก็เกือบ 5 โมงเย็น อีกทั้งผลข้างเคียงจากการหยอดตาด้วย

คงไม่มีใครที่เมื่อได้รับรู้ว่าเป็นโรคที่ไม่มีใครอยากจะเป็นจะมีสติอยู่ได้ ผมก็เช่นเดียวกัน ช่วงที่อยู่คนเดียวผมสามารถอยู่แบบนิ่ง ๆ ได้ แต่เมื่อไรมีคนมาหาเพื่อพูดคุย รู้สึกมันพูดอะไรไม่ออก แม้ผมรู้ว่าผมเป็นมะเร็ง ใจผมไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมะเร็งเลย ความรู้สึกนึกคิด ณ.เวลานั้นคือ "ผมยังมีลมหายใจ ยังสามารถเดินได้ กินข้าวได้ เป็นมะเร็งคงไม่ได้ตายในวันนี้ วันพรุ่งนี้ ผมไม่อยากจะไปรักษาด้วยซ้ำไป" แต่นั้นก็เป็นแค่ความคิด ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ผมยังมีความฝันที่อยากจะทำให้มันกลายเป็นจริง ก่อนที่จะไม่ได้ทำ


(ตามต่อตอนที่ 8.3)

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 8.1


วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นวันก่อนวันแห่งความรัก ที่หลายคนต่างจะต้องจัดเตรียมหา ดอกกุหลาบ หรือดอกไม้ไว้เพื่อเตรียมนำไปมามอบให้คนพิเศษ ตามธรรมเนียมของเทศกาลนี้ หลายคนรอคอยว่า วันพรุ่งนี้จะมีข่าวดีจากเพื่อนที่คบกันมาจะบอกรักหรือไม่ แฟนที่คบกันมานานจะขอแต่งงานหรือเปล่า ต่างใจจดจ่อให้ถึงไว ๆ สำหรับผมแล้ว ก็เตรียมตัวเช่นกัน ไม่ใช่เตรียมหาดอกไม้หรืออะไร แต่เตรียมตัวรอคอยฟังผลตรวจชิ้นเนื้อ มันเป็นการรอคอยที่ให้ความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก และก็เป็นวันที่จะต้องบันทึกลงในส่วนหนึ่งของสมอง เพื่อระลึกถึงเช่นเดียวกันกับวันวาเลนไทน์ที่หลายคนจดจำไว้ในสิ่งที่ดี ๆ ที่ได้รับ
 
2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ)  เช้าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 นักกายภาพฯมาฝึกทำกายภาพตามปกติ มีการทบทวนท่ากายภาพก่อนที่จะกลับบ้าน ก่อนออกจากห้องนักกายภาพฯ ยังอวยพรให้ผม “ขอให้ได้รับข่าวดีนะ” ใจผมยิ้มกับคำอวยพรที่ดีนั้น ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องพร้อมการเดินเข้ามาของหมอเจ้าของใข้ กับพยาบาลตามปกติ ”วันนี้จะได้กลับบ้านแล้ว คนไข้วันนี้ขอดูแผลหน่อยซิ” หมอเจ้าของไข้บอกผมพร้อมกับเดินมาด้านหลัง ผมสังเกตุเห็นในมือหมอมีกระดาษพับอยู่หนึ่งแผ่นซึ่งก็คือ ผลการตรวจชิ้นเนื้อนั่นเอง “แผลดูดีแห้งมากแล้ว วันนี้ตัดไหมได้แล้วนะ” หมอเจ้าของไข้พูด จากนั้นก็เดินมาด้านหน้าผม พร้อมกับคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกพร้อมกับพูดว่า

 “ผลตรวจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ...........”  หมอเจ้าของไข้อธิบายไปหลายอย่างมาก
สุดท้ายก็มาจบลงตรงที่ว่า “ผลตรวจชิ้นเนื้อบ่งบอกว่าเป็น มะเร็งผิวหนัง ชนิดเม็ดสีผิดปกติ ฉะนั้นจะต้องตรวจหาจากจุดอื่น ๆ ที่จะเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิด เพราะว่าจุดที่เกิดนั้นไม่ใช่เป็นจุดรวมของเม็ดสี ไม่น่าจะเกิดเป็นมะเร็งได้ ต้องตรวจที่ ผิวหนังพวกเม็ดไผต่าง ๆ รวมไปถึงที่ ตา หู คอ จมูก ด้วย ที่ตาเป็นจุดรวมของเม็ดสี ส่วนหู คอ จมูกนั้นก็เป็นพวกเนื้อเยื่อที่จะเป็นจุดรวมของเม็ดสีที่จะเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้ เดี๋ยวจะให้หมอผิวหนังมาตรวจดู พร้อมทั้งต้องไปพบหมอ ตา หู คอ จมูกด้วย เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านนะครับ”  หมอเจ้าของไข้จบประโยค  เสร็จแล้วก็ออกจากห้องไปเช่นเคย


ผมนิ่งอยู่เหมือนวันที่หมอเจ้าของไข้มาแจ้งว่าผมต้องผ่าตัด ผมงงอยู่กับชีวิตว่า ผมเข้าโรงพยาบาลมารักษาอาการ ปวดหลัง เดินไม่ได้ แค่ตอนที่จะรู้ว่าต้องผ่าตัด ก็ทำใจลำบากแล้ว สุดท้ายมาลงตรงที่ว่าผมเป็นมะเร็ง จะให้ผมทำใจยังไง ในสมองผมตอนนั้นคิดว่าจะต้องแจ้งข่าว ระหว่างพี่ ๆ ของผมหรือภรรยา ครั้นจะใช้โทรศัพท์ ผมว่าผมคงต้องร้องไห้และสุดท้ายก็พูดไม่รู้เรื่อง ตัดสินใจส่งข้อความถึงภรรยา “หมอแจ้งผลชิ้นเนื้อแล้ว เป็นมะเร็ง” สั้น ๆ แค่นั้นที่ผมแจ้ง

(ตามต่อตอนที่ 8.2 นะครับ)

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 7



ทุกคนมีเป้าหมายของชีวิตไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะตั้งเป้าหมายว่า ได้ทำงานในตำแหน่งงานที่มั่นคง มีเงินเยอะ ๆ เป็นเจ้าของกิจการและอื่นๆ อีกมากมาย ผมเพิ่งเข้าใจความหมายของชื่อหนังสือหลวงตามหาบัว ที่ว่า “ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า ชาติสุดท้าย” ซึ่งก็คือนิพพาน นั่นเอง เป็นเป้าหมายสูงสุดที่ พระสัมมาสัมพุทธะ ได้วางไว้สำหรับพุทธศาสนิกชน “ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้มีอยู่ ๓อย่างอย่างไรเล่า? ๓อย่างคือ ๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ) ๒.ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ) ๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ฐิตสฺส อญฺ ญถตฺตํ ปญฺญายติ). ภิกษุ ท.! ๓อย่างเหล่านี้แลคืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.” (ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗.)

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ)  ในช่วงที่ผมอยู่ที่ห้องพักฟื้นนี้ มีคนไข้อยู่ประมาณ 4-5 ราย บางรายเท่าที่มองเห็นก็นอนไม่รู้ตัว บางรายก็ร้องตะโกนจับใจความไม่ได้ สอบถามพยาบาลแจ้งว่า "เป็นคนไข้พิเศษที่ต้องมีการมัดร่างกายไว้ด้วย" ทำให้รู้ว่าเรายังมีอาการดีกว่าคนไข้คนอื่นมาก หลังจากกินข้าวเช้าไม่นาน ก็มีนักกายภาพบำบัดเข้ามาที่ห้อง พร้อมแจ้งว่า "ลองทำกายภาพฟื้นฟูร่างกาย" "เอาแล้วไม่หละนี่ผมเพิ่งผ่าตัดมานะครับจะให้กายภาพเลยเหรอ" ผมคิดในใจ พอดีหมอเจ้าของไข้เข้ามาดูอการผม ก็แจ้งว่า "ดูอาการดีนะ อีกสองสามวันก็คงกลับบ้านได้ ส่วนเรื่องกายภาพนั้นทำได้เลย" เท่านั้นแหละ พอหมอเจ้าของไข้ออกไป การกายภาพฯก็เริ่มขึ้น ตั้งแต่ยกขา  เตะขาตรง  เอียงตัวเตะขาไปมา ท่าพวกนี้ไม่เท่าไร แต่กายภาพแบบที่ให้ลุกขึ้นจากเตียงโดยการตะแคงนี้ซิ จะรู้ไม่หละว่ามันทรมาน แต่ก็ต้องทำ เพราะเลือดเสียที่อยู่ในแผลจะได้ไหลออกมาเยอะ นักกายภาพฯบอกอย่างนั้น ไม่ถึง 20 นาที "ฝึกบ่อย ๆ นะ" จากนั้นก็ออกจากห้องไป (จุดที่ผ่าตัดหมอจะมีสายยางเล็ก ๆ เพื่อระบายเอาเลือดที่ค้างไว้ภายในโดยมีขวดรองรับอยู่) 

เมื่อผมเข้าพักที่ห้องพิเศษอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อรอกลับบ้านนั้น หมอเจ้าของไข้ไม่ได้มาดูอาการผม มีเพียงพยาบาลเท่านั้นที่มาทำหน้าที่ประจำในแต่ละวันคือ วัดไข้ ความดัน วัดออกซิเจน ทุก ๆ 4 ชั่วโมง และก็มีการฉีดยาให้ผม 3 เข็ม เป็นยาแก้ปวด แก้ติดเชื้อเท่านั้น อาจจะเป็นไปได้ที่ว่าเป็นวันสุดสัปดาห์ หมอเจ้าของไข้ก็เลยหยุด อีกอย่างเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วย  เป็นความโชคดี ผมก็เลยได้กินผลไม้ที่แพงที่สุดมั้ง จากผู้ที่มาเยี่ยมผมในช่วงเทศกาลดังกล่าว “กล้วยหอมหวีละ 160 บาท ส้มอีกต่างหาก” ขอบคุณกัลยาณมิตร คุณวันเพ็ญ คุณอัครเดช คุณอาจารียาพร คุณมาลิเกษ ที่ ...(กัดฟัน)...ซื้อมาฝาก อีกเรื่องที่ผมแปลกใจภายหลังว่าทำไมการผ่าตัดผมไม่ต้องมีญาติมาเซนต์ยินยอม มานึกได้ว่าผมมีประกันชีวิตนี่เอง เพราะเรื่องค่าใช้จ่ายเท่าที่ทางโรงพยาบาลแจ้งไว้หลังจากผมอยู่รักษาตัว 3 วัน อยู่ที่ สองแสนกว่าบาท โชคดีของผมที่ได้ทำประกันชีวิตไว้ไม่งั้นคงไม่มีเงินจ่ายแน่ ๆ 

กิจวัตรประจำวันของผมนั้น ช่วงเช้าหลังกินข้าวจะมีนักกายภาพฯแวะเวียนมาฝึกทำกายภาพ ทั้งเตะขา สร้างกำลังกล้ามเนื้อขา เพื่อให้สามารถรับน้ำหนักตัวของตนเองให้ได้ ผมถามนักกายภาพฯว่า “ผมจะเดินได้หรือเปล่า” “เดินได้ เคสของคนไข้ไม่ได้เป็นเยอะ เป็นลักษณะของอัมพฤษ์ชั่วคราวเท่านั้น” นักกายภาพฯบอกผม เพียงแค่หนึ่งวัน นักกายภาพฯก็สอนผมเดิน โดยช่วงแรกให้ผมใช้ไม้เท้า walker ช่วยพยุง จากนั้นก็พยุงให้ผมเดินค่อย ๆ ก้าว เป้าหมายแรกของผมหลังผ่าตัดคือ ผมต้องเดินให้ได้ ผมยังอยากที่จะกลับไปปั่นจักรยานและมีโครงการของการปั่นจักรยานทางไกลด้วย ช่วงนั่นผมมีความรู้สึกว่าผมจะต้องหายและเดินได้ ในจิตใจผมคิดอย่างนั้นตลอด อาจจะเป็นเรื่องของการสร้างกำลังใจให้กับตนเองหรือเปล่าไม่รู้


แรงจูงใจที่ใหญ่ยิ่งอย่างหนึ่งก็คืออีกสองอาทิตย์ (ผมผ่าตัดวันที่ 6 กพ.56) วันที่ 23 ก.พ.56 ทางโรงเรียนของลูกสาว จะมีการจัดงานยุวบัณฑิต ให้กับนักเรียนที่เรียนจบระดับอนุบาล 3 ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะต้องเข้าโรงพยาบาล หลังจากกลับจากโรงเรียน ลูกสาวผมจะต้องมาซ้อมการเดินเข้ารับวุฒิบัตรให้ดูอยู่เป็นประจำ ผมตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปร่วมงานให้ได้ ผมใช้เวลาในการฝึกกำลังขาทั้งนั่ง-นอนเตะขา ลุกนั่งแบบเบา ๆ โดยเกาะที่เตียง 3 เวลาหลังกินข้าว หรือแม้แต่กระทั่งเวลาว่าง บางครั้งก็ถึงกับร้องให้ในอาการที่เป็นอยู่ แต่ในความท้อนั้นก็มีความหวังขึ้นมา เช้ามืดของวันอาทิตย์ที่ 10 กพ. 56 (4 วัน หลังจากผ่าตัด) ผมลุกจากเตียง จะลองฝึกเดิน ผมตัดสินใจ เดินเองโดยยกไม้เท้า walker ขึ้น แล้วค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างช้า ๆ ซ้าย สลับขวา โดยไม่ต้องใช้ไม้ walker สิ่งที่ผมกังวลตั้งแต่แรกคือผมจะเดินไม่ได้นั้น ผมเดินได้แล้ว แม้จะไม่เหมือนเดิมก็ตาม เป้าหมายของผมบรรลุแล้ว

หมายเหตุ : ที่ผมฟื้นตัวได้เร็ว อาจจะมาจากการที่ได้ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ พร้อมที่จะทำงานได้ (อันนี้เป็นตรรกะที่ผมคิดเอาเอง) ผลดีของการออกกำลังกาย เชิญชวนทุกท่านหาเวลาออกกำลังกายกันนะครับ

(ตามต่อตอนที่ 8 นะครับ)