วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 3


เมื่อเอ่ยถึงความตายใคร ๆ ก็กลัว ผมจำได้ว่าเมื่อสิ้นปี 55 ที่ผ่านมา ผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ที่ผมทำงานอยู่มาให้โอวาทในโอกาสสิ้นปี และได้ตั้งคำถามว่า "ใครไม่กลัวความตายบ้าง" มีเพียงผมคนเดียวที่ยกมือขึ้น คิดว่าตัวเองทำซึ่ง "มรณสติ" เป็นอย่างดี ดังคำตรัสของพระพุทธองค์ "มรณสติอันบุคคลเจริญ กระทำให้มาก ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน"  คือมีความตายเป็นที่สุด ใครนึกถึงความตายเรื่อย ๆ คนนั้นจะได้ความไม่ตาย (ถอดเทปจาก รวมพุทธวจนบรรยาย ชุดใต้ร่มเงาพุทธวจน @บางไทรกรุ๊ป Track ที่ 8 ช่วง 1:31:25 ดาวน์โหลดได้ที่ www.watnapp.org) คำนี้ลึกซึ้งมากสำหรับผม แต่แค่รู้ว่าต้องผ่าตัดยังเสียวหวาดสะดุ้ง กว่าจะทำใจได้ก็สักพักใหญ่ บ่งบอกว่าเรายังเป็นเพียงแค่การฝึกขั้นเตรียมอนุบาลเท่านั้น 

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ) หลังจากที่ตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาล ครั้งนี้ไม่เหมือนกับปี 54 (อ่านความเดิม “เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตอนที่ 2)  ผมถูกส่งตัวไปพบหมอด้านกระดูก ก็เช่นเคยเล่าอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นให้หมอฟัง หมอให้ผมเอกซ์เรย์ทันที ทั้งแบบยืนและนอนตะแคง เมื่อเอกซ์เรย์เสร็จก็กลับมายังห้องตรวจเพื่อพบหมออีกครั้ง พร้อมกับดูผลของการเอกซ์เรย์ “หมอนรองกระดูกก็ปกติดีนะ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ อาจจะเป็นเรื่องของกล้ามเนื้ออักเสบ เดี๋ยวหมอจ่ายยาให้ไปทาน ดูอาการสักสัปดาห์นะ” ผมคิดในใจ หมอมามุกเดิมอีกแล้ว ก็รอดูแค่ยาเท่านั้นว่ามีอะไรบ้าง แต่ผมก็บอกกับหมอว่า “ขอฉีดยาแก้อักเสบด้วยนะครับ” คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ก็รับการฉีดยา และออกมารอที่ห้องจ่ายยากับจ่ายตังค์เรียบร้อยโรงพยาบาล ตัวยาที่ได้ไม่มียาพาราฯ โล่งใจคงหายแน่ ๆ ก็จริงอาการก็ทุเลาลง แต่พอยังมีอาการปวดบ้าง

แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร กินยาที่หมอให้มาไปได้แค่ 3 วัน เกิดอาการที่ขามีลักษณะคล้ายเริ่มอ่อนแรงลง ขาหนัก การเดินเหมือนกับตลก คุณอ่าง เชิญยิ้ม (ขออนุญาตเอ่ยนามเพื่อให้เห็นภาพ ไม่ได้ล้อเลียนแต่อย่างใด) แต่ไม่ได้มากขนาดนั้น ยาที่ได้จากหมอโรงพยาบาล มียาตัวหนึ่งที่ลองค้นหาในอาจารย์กู (google) คือ ยาCOLCHICINE เป็นยาที่ลดอาการปวดโรคเกาฑ์ ตอนแรกก็งง ผมปวดหลังทำไมหมอให้ยาลดอาการปวดเกาฑ์มาให้ ยิ่งพออ่านไปเจอผลข้างเคียงที่กินยาตัวนี้เข้าไปคือ ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ไปกันใหญ่ ความคิดแวบขึ้นมาเลยว่า "สงสัยต้องแพ้ยา หรือหมอให้ยามาผิดแน่" รอดูอาการอีกสักวันสองวันแล้วค่อยว่ากัน (เลยหยุดกินยาตัวนั้นไปก่อน คิดเอาเอง)

วันที่ 5 กพ. 56 ในช่วงวันนั้นรู้สึกได้เลยว่า หลังจากนั่งนาน ๆ เมื่อลุกขึ้นเดิน ขาจะแข็งก้าวไม่ออก ตกตอนบ่ายอาการยิ่งเป็นมากขึ้น หากต้องก้าวลงบันได เวลาก้าวขาจากขั้นหนึ่งลงไปอีกขั้นจะล้มให้ได้ กลับมาถึงบ้าน เดินเข้าไปในบ้านได้ไม่กี่ก้าว มีอันต้องล้มลงทั้งยืน โชคดีที่ไม่ได้ล้มทั้งตัว เพียงแค่ล้มให้ก้นกระแทกพื้น คิดว่า “คงไม่ไหวแล้วคงต้องไปหาหมอ” จริง ๆ ว่าจะไปในวันรุ่งขึ้น  เพราะคิดว่าไปวันนี้ก็คงไม่เจอหมอคนเดิมแน่ ๆ ตอนนั้นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว พอถึงโรงพยาบาล แจ้งที่เคาน์เตอร์บอกว่า “มีอาการของขาอ่อนแรง ไม่แน่ใจว่าแพ้ยาหรือเปล่า” ทางพยาบาลก็แจ้งให้ไปติดต่อด้านใน พร้อมกับเดินไปเอง แต่พยาบาลคงเห็นอาการแล้วว่าคงเดินไปไม่ถึงแน่ เลยให้ผมนั่งรถเข็นไป

เกิดมาไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้นั่งรถเข็นของโรงพยาบาล คิดแต่ว่าตนเองเป็นคนแข็งแรง เพราะผมออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานเสือภูเขาเป็นประจำมาเกือบปีตั้งแต่ต้นปี 55 เรื่องขี่จักรยานก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งก็ว่าได้ที่เกิดขึ้นกับผมได้ออกกำลังกาย พร้อมกับไปในที่ที่ไม่เคยไป สุข และสนุกมาก และนี้ก็เป็นปัจจัยเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นมะเร็ง.....มั้ง หมอบอกผมอย่างนั้น
(ตามต่อตอนที่ 4 นะครับ)

1 ความคิดเห็น: