วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 4

ทุกคนเคยได้เรียนรู้มาว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ มีเหตุให้ต้องออกบวชเป็นบรรพชิต เนื่องจากเหตุปัจจัยให้พบความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านจึงต้องออกค้นหาความเป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และหาทางดับสิ่งนี้ นั้นก็คือหากไม่มีการเกิด ก็จะไม่มีการตาย ดับที่เหตุนั้นเองดังเช่น " "เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป " (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน.สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔) เรียกว่า กฏอิทัปปัจยตา ซึ่งเป็นกฏของธรรมชาติที่ ตถาคตผู้เป็นมัคัญญู (รู้มรรค) เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค) เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค) ได้ตรัสรู้ในธรรมอันมีความหมายลึกซึ้ง

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ) ผมได้พบหมออีกท่านหนึ่ง ในช่วงเย็นวันที่ 5 ก.พ. 56 ผมแจ้งเรื่องที่ผมสันนิษฐานว่า “แพ้ยารึเปล่า” หมอเปิดประวัติผมจากเครื่องคอมพิวเตอร์ตอบกลับว่า “คงไม่ใช่เรื่องแพ้ยา งั้นเจาะเลือดตรวจเกลือแร่ดู” ผมถูกส่งตรวจไปที่ห้องเจาะเลือด  เรื่องเข็มฉีดยาเป็นอะไรที่ผมรู้สึกกลัวสุดขีดตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เจาะเลือดเสร็จกลับไปรอหมอพร้อมรอผลเลือด ค่อนข้างไวมาก ไม่ถึง 15 นาที หมอเรียกเข้าไปพบแจ้งว่า “ปกติดี คนไข้ลองยกขาขึ้นสู้แรงกดกับมือหมอทีซิ” ผมก็สามารถทำได้ จากนั้นหมอนำเอาคลิปหนีบกระดาษคลายลวดออก แล้วลองเอามาจิ้มที่ขาทั้งสองขา “หากให้คะแนนความเจ็บ 0-10 ให้เท่าไร” ผมบอกว่า “ศูนย์ครับ” ก็ไม่มีความรู้สึกจริง ๆ ขณะนั้นอาการที่เป็นคือคล้ายอาการเหน็บชาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับเอวลงไปที่ขา “งั้นคงต้องตรวจละเอียด MRI แล้วครับ” หมอแจ้งผม พยาบาลนำผมออกมาข้างนอกห้องตรวจ ผมแจ้งพยาบาลว่ามีประกันชีวิตอยู่  พยาบาลถือบัตรประกันฯผมไปโทรศัพท์ สักครู่เดินมาใหม่ แจ้งว่า “เครื่อง MRI ใช้การไม่ได้ คงต้องเป็นพรุ่งนี้” ผมคิดในใจ “เครื่องไม่ใช่ถูก ๆ ทำไมถึงเสีย” แต่พรุ่งนี้ก็ได้เพราะคิดว่าจะมาหาหมออยู่แล้ว ผมพาตนเองกลับบ้านด้วยอาการมาอย่างไรกลับก็อย่างงั้น พร้อมกับมีความสงสัยอยู่ในใจว่า ขาอ่อนแรงเดินไม่ได้ แต่ทำไมเราสามารถยกขา กระดกขา กระดิกนิ้วเท้าได้ (หมายเหตุ : เลือดที่มีเกลือแร่น้อยสามารถทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ อันนี้หมอบอกอีก หากอยากรู้มากกว่านี้คงต้อง ถามอาจารย์goo ดูก็น่าจะมีคำตอบบ้าง)

รุ่งเช้าก็คือวันที่ 6 ก.พ. 56 (เกริ่นมาตั้งแต่ตอนที่ 2 สงสัยจะยาว) ผมกลับมาหาหมออีกครั้ง  แต่คราวนี้ต้องใช้รถเข็นตั้งแต่ลงจากรถเลย เริ่มเดินไม่ได้อย่างจริงจัง เนื่องจากหมอคนที่มาพบตอนเย็นวันที่ 5 ก.พ. 56 ได้สรุปแล้วว่า “ควรตรวจละเอียด MRI  เมื่อเจอหมอกระดูกที่เคยตรวจตั้งแต่ครั้งแรก หมอถามผมว่า “เป็นอะไรมาหละ” ผมงงกับคุณหมออยู่ครู่หนึ่ง พร้อมตอบหมอไปว่า “คิดว่าแพ้ยา เดินไม่ได้” (หมอคงจำหน้าผมไม่ได้ ผมเพิ่งมาหา แล้วเอายาไปกิน ผมมีอาการแบบนี้ ไม่ใช่เพราะยาที่หมอให้ผมเหรอ อันนี้คิดในใจ) หมอเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วบอกว่า “ลองยกขาสู้แรงกับมือหมอดู” จากนั้นหันไปดูประวัติผมในคอมพิวเตอร์ แจ้งพยาบาลบอกให้ admit ตรวจละเอียด MRI ทันที” พร้อมบอกผมว่า “มีอะไรเอาออกมาให้หมด.....(ไม่ใช่)  มีประกันอะไรให้แจ้งพยาบาลด้วยทั้งหมด” จากนั้นรถเข็นก็พาผมไปยังห้องพิเศษ เปลี่ยนเสื้อผ้า รอเวลาที่จะไปทำ MRI ประมาณ 11 โมง ช่วงเวลานี้ก็ถ่ายรูปตนเองอย่างสบายใจ โทรศัพท์แจ้งให้คนในครอบครัวทราบ ดูจากภาพจะเห็นว่ายังยิ้มได้...(เพลงพลพล พลกองเส็ง) ก่อนสติหลุดในช่วงบ่าย


ผมเข้าตรวจ MRI ตั้งแต่เวลา 11 โมง เสร็จประมาณบ่ายโมงนิด ๆ มันเป็นอะไรที่รู้สึกอีดอัด เมื่ออยู่ในเครื่องตรวจ ณ.เวลานั้นผมพยายามอย่างเป็นที่สุดที่จะอยู่กับ ลมหายใจเข้าออก รวมทั้งระลึกถึงบทกล่าวนำข้างต้น คือ กฏอิทัปปัจยาตา อยู่ตลอดเวลา นี้คือสิ่งที่ผมได้จากจุดเปลี่ยนที่หนึ่ง หากไม่ได้ฝึกมาบ้างคงเป็นอะไรที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน  ซึ่งผมจำได้ว่า "อานิสงส์อย่างหนึ่งของบุคคลที่ได้ฟังธรรมเป็นเนื่อง ๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดอย่างดีด้วยทิฐิ (ความเห็น) หากมีสติหลงลืมเวลาทำกาละ (ตาย) ย่อมเข้าถึงภพของเทวดาได้" (จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๗๘/๑๙๑) เพราะว่าณ.ช่วงเวลาอยู่ในเครื่อง MRI มันเหมือนนอนในที่แคบ ๆ ราวกับเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ผมจะต้องเจอในอนาคต และต้องเจอกันทุกคน....
(ตามต่อตอนที่ 5 นะครับ)

2 ความคิดเห็น: