“ผลตรวจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดไว้”
ประโยคนี้ยังคนก้องอยู่ในความทรงจำของผมอยู่ตลอดเวลา การคาดการณ์อะไรต่าง ๆ
บางครั้งอาจจะสมหวัง ผิดหวังแล้วแต่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ณ.ขณะที่ผมได้ยินประโยคนี้
ความรู้สึกผมหยุดไปชั่วครู่ คุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้
และผ่าตัดได้อธิบายให้ผมฟังหลายอย่าง แต่ผมจำได้เพียงแค่ประโยคว่า
“ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือมะเร็ง”
2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง
(ต่อ)
หลังจากที่ผมเข้าตรวจเครื่อง MRI อย่างยาวนานนั้น
จริง ๆ แล้วบุรุษพยาบาลผู้ควบคุมเครื่องบอกผมว่า "ประมาณ 45 นาทีหากคนไข้ไม่ขยับตัวนอนนิ่ง
ๆ" แต่ทำไม่การตรวจของผมถึงได้นานขนานนั้น เพราะว่า
- แสกนครั้งแรกเป็นแบบทั่วไป
- แสกนครั้งที่สอง ฉีดสีเข้าเส้นเลือดด้วย
- ครั้งที่สามตรวจเพื่อยืนยัน (เฉพาะจุด) อีกครั้ง
คิดเอาแล้วกันครับว่า
สองครั้งแรกมันจะทรมาณขนาดไหน ที่จะต้องนอนนิ่ง ๆ แบบนั้นครั้งละ 45 นาที และขณะที่เครื่องทำงานนั้น
หากใครเคยเล่นเกมส์ที่มีลักษณะการยิงปืนกัน หรือ counter strike หละก็เสียงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเหมือนกันไม่มีผิด หยุดเป็นจังหวะ
จะให้นอนหลับอย่างสงบอย่างที่คิดไว้คงเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างในครั้งแรกที่เข้าไปในเครื่อง บุรุษพยาบาลไม่ได้เปิดแอร์ที่เครื่องด้วย
(โดยปกติภายในอุโมงค์จะมีรูเล็ก ๆ เพื่อให้ลมเย็นไหลผ่านออกมา อันนี้ผมก็เพิ่งรู้หลังจากผ่านการแสกนครั้งแรก) ผมนี้ร้อนมากเหงื่อท่วมไปทั้งตัว จนกระทั่งหยุดเครื่องพยาบาลยังบอกเลยว่า
"ข้างหลังนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ" บุรุษพยาบาลยังมีหน้ามาบอกอีกว่า "ลืมเปิดแอร์ให้"
ตอนจะเข้าไปในช่วงที่สองต้องฉีดสีด้วย แล้วค้างไอ้ที่เจาะที่ผิวหนังไว้เพื่อเจาะเลือดด้วยนี้สิ
โอ้แม่เจ้า... แต่ก็ผ่านไปด้วยดี หลังจากครั้งที่สองผ่านไป
คิดว่าคงเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังจะขึ้นนั่งรถเข็น พยาบาลแจ้งว่าคุณหมอให้ตรวจอีกครั้ง
ผมอุทานในใจว่า "อะไรกันเนี่ย" ก็ต้องกลับไปที่เครื่องอีกครั้ง แต่ดีหน่อยที่ใช้เวลาไม่นานประมาณ
20 นาทีก็เสร็จ ผมก็กลับไปรอที่ห้องพิเศษอีกครั้งพร้อมกับมีความคิดแว่บขึ้นมาว่า
“คงเป็นอะไรไม่มาก แค่เหน็บชาครึ่งตัว เดี๋ยวหมอก็คงขึ้นมาแล้วฉีดพวกวิตามิน B
รวมเข้าทางเส้นเลือดก็จะเรียบร้อย” คิดได้อย่างนั้นก็กินข้าวเที่ยง
ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลา 13.30 น.
ไม่ชั่วอึดใจ มีเสียงเคาะประตูห้อง พร้อมเปิดออก
เอ๊ะไม่ใช่คุณหมอที่ตรวจเรานี่ เป็นคุณหมอท่านใหม่ ท่าทางยังหนุ่มอยู่
เดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาล มายืนที่ปลายเตียงพร้อมกับอธิบายผลการตรวจ
แต่ในขณะนั้นผมจำได้เพียงเท่านี้
“ผลการแสกนพบเนื้องอกซึ่งไปเบียดไขสันหลัง
เป็นผลทำให้ขาเดินไม่ได้ ลักษณะของการอ่อนแรงที่เกิดขึ้น จะต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน
เพราะหากปล่อยไว้หรือรอพรุ่งนี้อาจจะไม่ทันเพราะลักษณะนี้ค่อนข้างไว
และอาจทำให้เดินไม่ได้เลย ในการผ่าตัดนั้นอาจจะไม่ร้อยเปอร์เซนต์ที่จะทำให้กลับมาเหมือนเดิมนะครับ”
คุณหมออธิบายโดยไม่ให้ผมตั้งตัวแม้แต่น้อย
พร้อมกับหันไปทางพยาบาลยังพูดต่ออีกว่า
“ตอนนี้บ่ายสองโมงครึ่งโดยประมาณ ฉะนั้นอดน้ำอดอาหารเลย จะได้ผ่าตัด สามทุ่มนะครับ”
จากนั้นคุณหมอก็เดินออกจากห้องไป
ทิ้งความงุนงงให้ผมชั่วครู่ใหญ่ ๆ ไม่ถามผมเลยเหรอว่าเต็มใจรึเปล่า ”ผมแข็งแรงออกกำลังกายเป็นประจำ
แล้วเกิดเหตุปัจจัยอย่างนี้ได้อย่างไร” เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในสมอง ได้แต่พยายามสลัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปอย่างที่เคยได้ฝึกจากจุดเปลี่ยนที่ 1 แล้วกลับมาที่ลมหายใจของตนเอง
แต่ก็ไม่หมดไปเสียที พร้อมกับมีความคิดใหม่แว่บขึ้นมา 2 อย่างคือ
- เนื้องอก ที่ต้องผ่าตัดมันจะเป็นมะเร็งหรือไม่
- หมอบอกว่าผ่าตัดแล้วไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หมายความว่า ?????.....ผมจะเดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น ใช้ไม้เท้าค้ำยัน หรือต้องนอนไปตลอดอย่างนี้
ณ.ขณะนั้นในข้อที่
1 ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่ากับข้อที่ 2 เพราะอายุผมเพียงแค่ 46 ปีผมต้องเป็นอย่างนั้นไปอีกเกือบ
20 ปี เลยเหรอ (ที่ผมคิดอีกว่า 20 ปี นั้นเป็นอายุเฉลี่ยของคนในครอบครัวผมที่มีอายุอยู่ในโลกนี้)
มันทรมานคนรอบข้างมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือลูกสาวผมอายุยังเพียงแค่ 6 ขวบ ผมยังอยากเล่น อยากเห็นเขาหัวเราะ อยากพาเขาไปในที่ที่เขาอยากไป อยากเห็นรอยยิ้ม
อยากได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับเราเสมอว่า “หนูรักพ่อที่สุดในโลก” ผมจะทำยังไง.........
(ผมพิมพ์ต่อไม่ไหวแล้วครับน้ำตามันจะไหล
ตามต่อตอนที่ 5)