วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 5



“ผลตรวจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดไว้” ประโยคนี้ยังคนก้องอยู่ในความทรงจำของผมอยู่ตลอดเวลา การคาดการณ์อะไรต่าง ๆ บางครั้งอาจจะสมหวัง ผิดหวังแล้วแต่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ณ.ขณะที่ผมได้ยินประโยคนี้ ความรู้สึกผมหยุดไปชั่วครู่ คุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ และผ่าตัดได้อธิบายให้ผมฟังหลายอย่าง แต่ผมจำได้เพียงแค่ประโยคว่า “ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือมะเร็ง”

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ)  หลังจากที่ผมเข้าตรวจเครื่อง MRI อย่างยาวนานนั้น จริง ๆ แล้วบุรุษพยาบาลผู้ควบคุมเครื่องบอกผมว่า "ประมาณ 45 นาทีหากคนไข้ไม่ขยับตัวนอนนิ่ง ๆ" แต่ทำไม่การตรวจของผมถึงได้นานขนานนั้น เพราะว่า

  • แสกนครั้งแรกเป็นแบบทั่วไป
  • แสกนครั้งที่สอง ฉีดสีเข้าเส้นเลือดด้วย
  • ครั้งที่สามตรวจเพื่อยืนยัน (เฉพาะจุด) อีกครั้ง

คิดเอาแล้วกันครับว่า สองครั้งแรกมันจะทรมาณขนาดไหน ที่จะต้องนอนนิ่ง ๆ แบบนั้นครั้งละ 45 นาที และขณะที่เครื่องทำงานนั้น หากใครเคยเล่นเกมส์ที่มีลักษณะการยิงปืนกัน หรือ counter strike หละก็เสียงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเหมือนกันไม่มีผิด หยุดเป็นจังหวะ จะให้นอนหลับอย่างสงบอย่างที่คิดไว้คงเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างในครั้งแรกที่เข้าไปในเครื่อง บุรุษพยาบาลไม่ได้เปิดแอร์ที่เครื่องด้วย (โดยปกติภายในอุโมงค์จะมีรูเล็ก ๆ เพื่อให้ลมเย็นไหลผ่านออกมา อันนี้ผมก็เพิ่งรู้หลังจากผ่านการแสกนครั้งแรก) ผมนี้ร้อนมากเหงื่อท่วมไปทั้งตัว จนกระทั่งหยุดเครื่องพยาบาลยังบอกเลยว่า "ข้างหลังนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ" บุรุษพยาบาลยังมีหน้ามาบอกอีกว่า "ลืมเปิดแอร์ให้" ตอนจะเข้าไปในช่วงที่สองต้องฉีดสีด้วย แล้วค้างไอ้ที่เจาะที่ผิวหนังไว้เพื่อเจาะเลือดด้วยนี้สิ โอ้แม่เจ้า... แต่ก็ผ่านไปด้วยดี หลังจากครั้งที่สองผ่านไป คิดว่าคงเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังจะขึ้นนั่งรถเข็น พยาบาลแจ้งว่าคุณหมอให้ตรวจอีกครั้ง ผมอุทานในใจว่า "อะไรกันเนี่ย" ก็ต้องกลับไปที่เครื่องอีกครั้ง แต่ดีหน่อยที่ใช้เวลาไม่นานประมาณ 20 นาทีก็เสร็จ ผมก็กลับไปรอที่ห้องพิเศษอีกครั้งพร้อมกับมีความคิดแว่บขึ้นมาว่า “คงเป็นอะไรไม่มาก แค่เหน็บชาครึ่งตัว เดี๋ยวหมอก็คงขึ้นมาแล้วฉีดพวกวิตามิน B รวมเข้าทางเส้นเลือดก็จะเรียบร้อย” คิดได้อย่างนั้นก็กินข้าวเที่ยง ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลา 13.30 น.

ไม่ชั่วอึดใจ มีเสียงเคาะประตูห้อง พร้อมเปิดออก เอ๊ะไม่ใช่คุณหมอที่ตรวจเรานี่ เป็นคุณหมอท่านใหม่ ท่าทางยังหนุ่มอยู่ เดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาล มายืนที่ปลายเตียงพร้อมกับอธิบายผลการตรวจ แต่ในขณะนั้นผมจำได้เพียงเท่านี้

“ผลการแสกนพบเนื้องอกซึ่งไปเบียดไขสันหลัง เป็นผลทำให้ขาเดินไม่ได้ ลักษณะของการอ่อนแรงที่เกิดขึ้น จะต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน เพราะหากปล่อยไว้หรือรอพรุ่งนี้อาจจะไม่ทันเพราะลักษณะนี้ค่อนข้างไว และอาจทำให้เดินไม่ได้เลย ในการผ่าตัดนั้นอาจจะไม่ร้อยเปอร์เซนต์ที่จะทำให้กลับมาเหมือนเดิมนะครับ”

คุณหมออธิบายโดยไม่ให้ผมตั้งตัวแม้แต่น้อย พร้อมกับหันไปทางพยาบาลยังพูดต่ออีกว่า

“ตอนนี้บ่ายสองโมงครึ่งโดยประมาณ ฉะนั้นอดน้ำอดอาหารเลย จะได้ผ่าตัด สามทุ่มนะครับ”

จากนั้นคุณหมอก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งความงุนงงให้ผมชั่วครู่ใหญ่ ๆ ไม่ถามผมเลยเหรอว่าเต็มใจรึเปล่า ”ผมแข็งแรงออกกำลังกายเป็นประจำ แล้วเกิดเหตุปัจจัยอย่างนี้ได้อย่างไร” เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในสมอง ได้แต่พยายามสลัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปอย่างที่เคยได้ฝึกจากจุดเปลี่ยนที่ 1 แล้วกลับมาที่ลมหายใจของตนเอง แต่ก็ไม่หมดไปเสียที พร้อมกับมีความคิดใหม่แว่บขึ้นมา 2 อย่างคือ


  1. เนื้องอก ที่ต้องผ่าตัดมันจะเป็นมะเร็งหรือไม่
  2. หมอบอกว่าผ่าตัดแล้วไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หมายความว่า ?????.....ผมจะเดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น ใช้ไม้เท้าค้ำยัน หรือต้องนอนไปตลอดอย่างนี้


ณ.ขณะนั้นในข้อที่ 1 ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่ากับข้อที่ 2 เพราะอายุผมเพียงแค่ 46 ปีผมต้องเป็นอย่างนั้นไปอีกเกือบ 20 ปี เลยเหรอ (ที่ผมคิดอีกว่า 20 ปี นั้นเป็นอายุเฉลี่ยของคนในครอบครัวผมที่มีอายุอยู่ในโลกนี้) มันทรมานคนรอบข้างมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือลูกสาวผมอายุยังเพียงแค่ 6 ขวบ ผมยังอยากเล่น อยากเห็นเขาหัวเราะ อยากพาเขาไปในที่ที่เขาอยากไป อยากเห็นรอยยิ้ม อยากได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับเราเสมอว่า “หนูรักพ่อที่สุดในโลก” ผมจะทำยังไง.........


(ผมพิมพ์ต่อไม่ไหวแล้วครับน้ำตามันจะไหล ตามต่อตอนที่ 5)

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 4

ทุกคนเคยได้เรียนรู้มาว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ มีเหตุให้ต้องออกบวชเป็นบรรพชิต เนื่องจากเหตุปัจจัยให้พบความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านจึงต้องออกค้นหาความเป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และหาทางดับสิ่งนี้ นั้นก็คือหากไม่มีการเกิด ก็จะไม่มีการตาย ดับที่เหตุนั้นเองดังเช่น " "เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป " (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน.สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔) เรียกว่า กฏอิทัปปัจยตา ซึ่งเป็นกฏของธรรมชาติที่ ตถาคตผู้เป็นมัคัญญู (รู้มรรค) เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค) เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค) ได้ตรัสรู้ในธรรมอันมีความหมายลึกซึ้ง

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ) ผมได้พบหมออีกท่านหนึ่ง ในช่วงเย็นวันที่ 5 ก.พ. 56 ผมแจ้งเรื่องที่ผมสันนิษฐานว่า “แพ้ยารึเปล่า” หมอเปิดประวัติผมจากเครื่องคอมพิวเตอร์ตอบกลับว่า “คงไม่ใช่เรื่องแพ้ยา งั้นเจาะเลือดตรวจเกลือแร่ดู” ผมถูกส่งตรวจไปที่ห้องเจาะเลือด  เรื่องเข็มฉีดยาเป็นอะไรที่ผมรู้สึกกลัวสุดขีดตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เจาะเลือดเสร็จกลับไปรอหมอพร้อมรอผลเลือด ค่อนข้างไวมาก ไม่ถึง 15 นาที หมอเรียกเข้าไปพบแจ้งว่า “ปกติดี คนไข้ลองยกขาขึ้นสู้แรงกดกับมือหมอทีซิ” ผมก็สามารถทำได้ จากนั้นหมอนำเอาคลิปหนีบกระดาษคลายลวดออก แล้วลองเอามาจิ้มที่ขาทั้งสองขา “หากให้คะแนนความเจ็บ 0-10 ให้เท่าไร” ผมบอกว่า “ศูนย์ครับ” ก็ไม่มีความรู้สึกจริง ๆ ขณะนั้นอาการที่เป็นคือคล้ายอาการเหน็บชาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับเอวลงไปที่ขา “งั้นคงต้องตรวจละเอียด MRI แล้วครับ” หมอแจ้งผม พยาบาลนำผมออกมาข้างนอกห้องตรวจ ผมแจ้งพยาบาลว่ามีประกันชีวิตอยู่  พยาบาลถือบัตรประกันฯผมไปโทรศัพท์ สักครู่เดินมาใหม่ แจ้งว่า “เครื่อง MRI ใช้การไม่ได้ คงต้องเป็นพรุ่งนี้” ผมคิดในใจ “เครื่องไม่ใช่ถูก ๆ ทำไมถึงเสีย” แต่พรุ่งนี้ก็ได้เพราะคิดว่าจะมาหาหมออยู่แล้ว ผมพาตนเองกลับบ้านด้วยอาการมาอย่างไรกลับก็อย่างงั้น พร้อมกับมีความสงสัยอยู่ในใจว่า ขาอ่อนแรงเดินไม่ได้ แต่ทำไมเราสามารถยกขา กระดกขา กระดิกนิ้วเท้าได้ (หมายเหตุ : เลือดที่มีเกลือแร่น้อยสามารถทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ อันนี้หมอบอกอีก หากอยากรู้มากกว่านี้คงต้อง ถามอาจารย์goo ดูก็น่าจะมีคำตอบบ้าง)

รุ่งเช้าก็คือวันที่ 6 ก.พ. 56 (เกริ่นมาตั้งแต่ตอนที่ 2 สงสัยจะยาว) ผมกลับมาหาหมออีกครั้ง  แต่คราวนี้ต้องใช้รถเข็นตั้งแต่ลงจากรถเลย เริ่มเดินไม่ได้อย่างจริงจัง เนื่องจากหมอคนที่มาพบตอนเย็นวันที่ 5 ก.พ. 56 ได้สรุปแล้วว่า “ควรตรวจละเอียด MRI  เมื่อเจอหมอกระดูกที่เคยตรวจตั้งแต่ครั้งแรก หมอถามผมว่า “เป็นอะไรมาหละ” ผมงงกับคุณหมออยู่ครู่หนึ่ง พร้อมตอบหมอไปว่า “คิดว่าแพ้ยา เดินไม่ได้” (หมอคงจำหน้าผมไม่ได้ ผมเพิ่งมาหา แล้วเอายาไปกิน ผมมีอาการแบบนี้ ไม่ใช่เพราะยาที่หมอให้ผมเหรอ อันนี้คิดในใจ) หมอเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วบอกว่า “ลองยกขาสู้แรงกับมือหมอดู” จากนั้นหันไปดูประวัติผมในคอมพิวเตอร์ แจ้งพยาบาลบอกให้ admit ตรวจละเอียด MRI ทันที” พร้อมบอกผมว่า “มีอะไรเอาออกมาให้หมด.....(ไม่ใช่)  มีประกันอะไรให้แจ้งพยาบาลด้วยทั้งหมด” จากนั้นรถเข็นก็พาผมไปยังห้องพิเศษ เปลี่ยนเสื้อผ้า รอเวลาที่จะไปทำ MRI ประมาณ 11 โมง ช่วงเวลานี้ก็ถ่ายรูปตนเองอย่างสบายใจ โทรศัพท์แจ้งให้คนในครอบครัวทราบ ดูจากภาพจะเห็นว่ายังยิ้มได้...(เพลงพลพล พลกองเส็ง) ก่อนสติหลุดในช่วงบ่าย


ผมเข้าตรวจ MRI ตั้งแต่เวลา 11 โมง เสร็จประมาณบ่ายโมงนิด ๆ มันเป็นอะไรที่รู้สึกอีดอัด เมื่ออยู่ในเครื่องตรวจ ณ.เวลานั้นผมพยายามอย่างเป็นที่สุดที่จะอยู่กับ ลมหายใจเข้าออก รวมทั้งระลึกถึงบทกล่าวนำข้างต้น คือ กฏอิทัปปัจยาตา อยู่ตลอดเวลา นี้คือสิ่งที่ผมได้จากจุดเปลี่ยนที่หนึ่ง หากไม่ได้ฝึกมาบ้างคงเป็นอะไรที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน  ซึ่งผมจำได้ว่า "อานิสงส์อย่างหนึ่งของบุคคลที่ได้ฟังธรรมเป็นเนื่อง ๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดอย่างดีด้วยทิฐิ (ความเห็น) หากมีสติหลงลืมเวลาทำกาละ (ตาย) ย่อมเข้าถึงภพของเทวดาได้" (จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๗๘/๑๙๑) เพราะว่าณ.ช่วงเวลาอยู่ในเครื่อง MRI มันเหมือนนอนในที่แคบ ๆ ราวกับเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ผมจะต้องเจอในอนาคต และต้องเจอกันทุกคน....
(ตามต่อตอนที่ 5 นะครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 3


เมื่อเอ่ยถึงความตายใคร ๆ ก็กลัว ผมจำได้ว่าเมื่อสิ้นปี 55 ที่ผ่านมา ผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ที่ผมทำงานอยู่มาให้โอวาทในโอกาสสิ้นปี และได้ตั้งคำถามว่า "ใครไม่กลัวความตายบ้าง" มีเพียงผมคนเดียวที่ยกมือขึ้น คิดว่าตัวเองทำซึ่ง "มรณสติ" เป็นอย่างดี ดังคำตรัสของพระพุทธองค์ "มรณสติอันบุคคลเจริญ กระทำให้มาก ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นปริโยสาน"  คือมีความตายเป็นที่สุด ใครนึกถึงความตายเรื่อย ๆ คนนั้นจะได้ความไม่ตาย (ถอดเทปจาก รวมพุทธวจนบรรยาย ชุดใต้ร่มเงาพุทธวจน @บางไทรกรุ๊ป Track ที่ 8 ช่วง 1:31:25 ดาวน์โหลดได้ที่ www.watnapp.org) คำนี้ลึกซึ้งมากสำหรับผม แต่แค่รู้ว่าต้องผ่าตัดยังเสียวหวาดสะดุ้ง กว่าจะทำใจได้ก็สักพักใหญ่ บ่งบอกว่าเรายังเป็นเพียงแค่การฝึกขั้นเตรียมอนุบาลเท่านั้น 

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ) หลังจากที่ตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาล ครั้งนี้ไม่เหมือนกับปี 54 (อ่านความเดิม “เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตอนที่ 2)  ผมถูกส่งตัวไปพบหมอด้านกระดูก ก็เช่นเคยเล่าอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นให้หมอฟัง หมอให้ผมเอกซ์เรย์ทันที ทั้งแบบยืนและนอนตะแคง เมื่อเอกซ์เรย์เสร็จก็กลับมายังห้องตรวจเพื่อพบหมออีกครั้ง พร้อมกับดูผลของการเอกซ์เรย์ “หมอนรองกระดูกก็ปกติดีนะ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ อาจจะเป็นเรื่องของกล้ามเนื้ออักเสบ เดี๋ยวหมอจ่ายยาให้ไปทาน ดูอาการสักสัปดาห์นะ” ผมคิดในใจ หมอมามุกเดิมอีกแล้ว ก็รอดูแค่ยาเท่านั้นว่ามีอะไรบ้าง แต่ผมก็บอกกับหมอว่า “ขอฉีดยาแก้อักเสบด้วยนะครับ” คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ก็รับการฉีดยา และออกมารอที่ห้องจ่ายยากับจ่ายตังค์เรียบร้อยโรงพยาบาล ตัวยาที่ได้ไม่มียาพาราฯ โล่งใจคงหายแน่ ๆ ก็จริงอาการก็ทุเลาลง แต่พอยังมีอาการปวดบ้าง

แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร กินยาที่หมอให้มาไปได้แค่ 3 วัน เกิดอาการที่ขามีลักษณะคล้ายเริ่มอ่อนแรงลง ขาหนัก การเดินเหมือนกับตลก คุณอ่าง เชิญยิ้ม (ขออนุญาตเอ่ยนามเพื่อให้เห็นภาพ ไม่ได้ล้อเลียนแต่อย่างใด) แต่ไม่ได้มากขนาดนั้น ยาที่ได้จากหมอโรงพยาบาล มียาตัวหนึ่งที่ลองค้นหาในอาจารย์กู (google) คือ ยาCOLCHICINE เป็นยาที่ลดอาการปวดโรคเกาฑ์ ตอนแรกก็งง ผมปวดหลังทำไมหมอให้ยาลดอาการปวดเกาฑ์มาให้ ยิ่งพออ่านไปเจอผลข้างเคียงที่กินยาตัวนี้เข้าไปคือ ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ไปกันใหญ่ ความคิดแวบขึ้นมาเลยว่า "สงสัยต้องแพ้ยา หรือหมอให้ยามาผิดแน่" รอดูอาการอีกสักวันสองวันแล้วค่อยว่ากัน (เลยหยุดกินยาตัวนั้นไปก่อน คิดเอาเอง)

วันที่ 5 กพ. 56 ในช่วงวันนั้นรู้สึกได้เลยว่า หลังจากนั่งนาน ๆ เมื่อลุกขึ้นเดิน ขาจะแข็งก้าวไม่ออก ตกตอนบ่ายอาการยิ่งเป็นมากขึ้น หากต้องก้าวลงบันได เวลาก้าวขาจากขั้นหนึ่งลงไปอีกขั้นจะล้มให้ได้ กลับมาถึงบ้าน เดินเข้าไปในบ้านได้ไม่กี่ก้าว มีอันต้องล้มลงทั้งยืน โชคดีที่ไม่ได้ล้มทั้งตัว เพียงแค่ล้มให้ก้นกระแทกพื้น คิดว่า “คงไม่ไหวแล้วคงต้องไปหาหมอ” จริง ๆ ว่าจะไปในวันรุ่งขึ้น  เพราะคิดว่าไปวันนี้ก็คงไม่เจอหมอคนเดิมแน่ ๆ ตอนนั้นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว พอถึงโรงพยาบาล แจ้งที่เคาน์เตอร์บอกว่า “มีอาการของขาอ่อนแรง ไม่แน่ใจว่าแพ้ยาหรือเปล่า” ทางพยาบาลก็แจ้งให้ไปติดต่อด้านใน พร้อมกับเดินไปเอง แต่พยาบาลคงเห็นอาการแล้วว่าคงเดินไปไม่ถึงแน่ เลยให้ผมนั่งรถเข็นไป

เกิดมาไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้นั่งรถเข็นของโรงพยาบาล คิดแต่ว่าตนเองเป็นคนแข็งแรง เพราะผมออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานเสือภูเขาเป็นประจำมาเกือบปีตั้งแต่ต้นปี 55 เรื่องขี่จักรยานก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งก็ว่าได้ที่เกิดขึ้นกับผมได้ออกกำลังกาย พร้อมกับไปในที่ที่ไม่เคยไป สุข และสนุกมาก และนี้ก็เป็นปัจจัยเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นมะเร็ง.....มั้ง หมอบอกผมอย่างนั้น
(ตามต่อตอนที่ 4 นะครับ)

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 2

หลายครั้งเรามักจะคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรามันมาจากไหนทำไมถึงเกิดขึ้นได้ บางคนประสบอุบัติเหตุ หรือเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน ก็มักจะทักเอาไปเป็นเรื่องปีชงบ้างอะไรบ้าง หรือมีเวรมีเคราะห์อะไรถึงเกิดขึ้นกับเรา และพยายามที่จะหาทางให้หมดสิ้นเวรสิ้นเคราะห์ไป ก็หันไปหาที่พึ่งต่าง ๆ เรื่องนี้มีคำตอบใน "พุทธวจน" พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "" โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมู่สัตว์ ย่อมเป็นไปตามกรรม สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นเครื่องรึงรัด เหมือนลิ่มสลักขันยึดรถที่กำลังแล่นไปอยู่ "  หนังสือพุทธวจน ภพภูมิ หน้า 199 ฉะนั้นเราอย่าไปทุกข์ร้อนในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถบันดาลให้เราเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ขอให้เราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจในวินาทีนี้ เป็นดีที่สุด (พูดนะง่าย แต่ทำโคตระยาก ผมเองณ.เวลานี้ก็พยายามอยู่ครับ)

ผมคิดว่าแต่ละคนก็มีจุดเปลี่ยนของชีวิต แล้วแต่จะพานพบมากบ้างน้อยบ้าง สำหรับผมเองอย่างที่เล่าไว้ว่ามี จุดเปลี่ยนของชีวิต 2 ครั้งที่ใหญ่ ๆ แต่จริง ๆ มีมากกว่านั้น ซึ่งแฝงอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ผมมีเหตุให้เข้าโรงพยาบาลเป็นการด่วนเมื่อวันที่ 6 กพ. 56 อันเนื่องมาจากช่วงปลายเดือนมกราคม'56 มีอาการปวดหลัง คล้ายกล้ามเนื้ออักเสบ (อันที่จริงอาการปวดแบบนี้ผมเคยเป็นเมื่อประมาณกลางปี 54) การรักษาก็ใช้ประสบการณ์จากปี 54 หาซื้อยาทั้งจากร้านขายยาทั่วไปและจากการลองค้นหาในอินเทอร์เนต ดูลักษณะอาการที่คล้ายคลึงกับตัวเอง แล้วก็บอกกับร้านขายยา รวมทั้งมีเพื่อนร่วมงานผู้ใจดี (ครอบครัวเหลาจินดาวัฒน์) เป็นผู้แจ้งให้รู้ตัวยาที่เคยใช้บรรเทาอาการปวดหลังแล้วได้ผล แต่ยาทั้งหมดที่หามากิน ก็ไม่ทำให้อาการปวดของผมลดลง ประจวบเหมาะยาที่กินหมดพอดี ตัดสินใจว่าหากไปหาหมอที่โรงพยาบาลครั้งนี้แล้วได้ยามากิน อาการปวดไม่หาย ก็จะปล่อยให้มันผ่านไป....เช่นเดียวกับปี 54

เหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 54 ที่ผมมีอาการปวดหลังนั้น จู่ ๆ อาการปวดเกิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยมักจะมีอาการเป็นประจำในช่วงกลางคืนประมาณตี 2-3 คือปวดแปร๊บ ๆ เหมือนคล้ายโดนเข็มเล็ก ๆ แทงด้านหลังตรงสะบักหลังขวามือ (ไม่รู้นี้ที่เรียกกันว่าแทงข้างหลังรึเปล่า) เป็นแบบนี้ทุกคืนไม่สามารถนอนได้ ต้องลุกขึ้นมานั่งเป็นกุ้งขดตัวสักครู่ใหญ่ ๆ หรือไม่ก็ต้องพึ่งยาพาราฯ พอให้อาการปวดทุเลาลงเพื่อให้นอนได้อีก แต่ก็นอนหงายไม่ได้ ต้องนอนตะแคงอย่างเดียว ช่วงนั้นก็พึ่งยาพาราฯเป็นหลัก รวมทั้งไปหาหมอโรงพยาบาล โดยถูกส่งตัวไปพบกับหมอเส้นประสาท เมื่อพบหมอก็เล่าอาการต่าง ๆ ให้ฟัง หมอก็จับกล้ามเนื้อด้านหลังนิดหน่อย ตรวจเสร็จปรากฏว่าได้ยาพาราฯ กับยาคลายกล้ามเนื้อมารักษา (ในใจคิดรู้งี้ซื้อพาราฯกินเองก็ได้) การปวดหลังครั้งนั้นผมไม่ได้พึ่งหมอรักษาโรคปัจจุบันเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นเรื่องของกล้ามเนื้อ ก็ไปหาหมอนวด.................จับเส้นตาบอดที่อยู่ใกล้บ้านด้วย หมอก็จับเส้นไปมาพร้อมบอกว่าเส้นจมต้องดึงให้มันขึ้นมา (อันนี้เป็นภาษาหมอเค้าพูดแบบนั้น) ไปหาก็หลายครั้งอาการก็ทุเลาลง แต่ก็ยังมีอาการปวดรบกวน ก็ใช้วิธีเอาฉลากยาที่ได้จากโรงพยาบาลที่เป็นยาคลายกล้ามเนื้อไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อยามากิน แต่ผลข้างเคียงของยาประเภทนี้คือ มีฤทธิ์กัดกระเพาะ ต้องกินหลังอาหารทันที หลัง ๆ ก็เลิกกินยาไป ปล่อยให้มันปวดไป แล้วมันก็หายไปเอง 

เพื่อนร่วมงานหลายคนที่ผมเล่าอาการให้ฟังก็บอกว่าอาการแบบนี้ผมต้อง โดนของใครปล่อยของใส่แน่ ๆ รู้สึกหน้าคล้ำ ๆ ไปนะ เล่นมุขไหนไม่รู้ แต่ที่คุยเล่นกันนั้นหารู้ไม่ว่าสิ่งนี้แหละเป็นอาการบ่งบอกเบื้องต้นให้รู้ว่าโรคร้ายกำลังมาเยือนทำให้ผมเป็นอยู่ณ..ปัจจุบัน

ตามต่อตอนที่ 3 นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 1

เป็นอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ว่า "ทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง" ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ส่วนใหญ่ก็มีแต่จะคาดการณ์กันไปล่วนหน้าต่าง ๆ นา ๆ ผมก็เป็นคนส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน ไม่เคยคิดว่าต้องมาผจญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน 

หากจะเริ่มต้นแล้วเขียนถึงมะเร็งเลยก็คิดว่าเป็นอะไรที่น่ากลัวเกินไป บล๊อกนี้ก็ขอเขียนถึงตนเองไปด้วย เล่าเรื่องเบื้องหลังชีวิตให้ฟัง แทรกเนื้อหา มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ที่ต้องเขียนบล๊อกก็มีผู้ชำนาญบล๊อกคนหนึ่ง (คุณนก วฤษสพร) เป็นผู้จุดประกายขึ้น ก็เลยลองเขียนดู คงติดตามกันอาจจะยาวสักหน่อย แต่เป็นเรื่องจริงที่ไม่อยากให้เกิดแต่ก็เกิดกับตนเอง เอาเป็นว่าขอเล่าถึงเบื้องหลังของชีวิตด้วย ผมเองมีจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นกับผมเองที่ใหญ่ ๆ 2 ครั้ง รวมถึงครั้งที่นี้ด้วย
1. จุดเปลี่ยนแรกคือ การได้มารู้จักศาสนาพุทธ ด้วย "พุทธวจน" ธรรมวินัยจากพระโอษฐ์ เปิดธรรมที่ถูกปิดด้วย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ลำลูกกาคลอง 10 ปทุมธานี ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะแต่เดิมผมนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ตามครอบครัวตั้งแต่เกิด ช่วงชีวิตหนึ่งผมมีปัญหาทางใจมาก หรือทุกข์ใจ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน จนผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร" ซึ่งทำให้ผมค้นหาคำตอบ และสุดท้ายก็พบคำตอบจากพุทธศาสนา หากชีวิตผมไม่ได้รู้จัก "พุทธวจน" การยืนหยัดกับชีวิตก็คงจะล้มเหลวไปแล้วเป็นแน่แท้ ยิ่งมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างนี้คงทุกข์อย่างหาที่สุดไม่ได้ ธรรมะของพระตถาคตช่วยได้จริง ขอให้เป็นธรรมะที่เป็น "  พุทธวจน "   ซึ่งเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะด้วยตนเอง ต้องน้อมนำมาปฏิบัติถึงจะรู้พร้อม สิ่งที่ได้นั่นคือ อานาปานสติ "ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่าหรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรงสติดำรงเฉพาะหน้า เธอนั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก : (หนังสือพุทธวจน อานาปานสติ) ลองไปหาอ่านได้ ดาวน์โหลดได้ที่ www.watnapp.com เพียงแค่มีสติรู้ลมหายใจเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา ละนันทิ(ความเพลิน) ที่เกิดขึ้นแล้วกลับมาที่ลมหายใจ เป็นมรรควิธีที่ง่าย ๆ ต้องฝึกอยู่บ่อย ๆ ช่วยให้เราคลายความที่เป็นคนจิตตกกับอนาคต กับอดีตต่าง ๆ เป็นคนคิดมากได้ ยังมีอีกมากซึ่งจะเกิดขึ้นในขณะที่เราต้องผจญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดที่ว่านี้จะเล่าให้ฟังต่อ ๆ ไป

ที่เล่าถึงจุดเปลี่ยนนี้ และเกริ่นซะยาวไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องที่ขึ้นต้นเลย อย่าเพิ่งหยุดอ่านนะครับ ก็เพราะว่าเมื่อผมเกิดจุดเปลี่ยนที่สอง แม้ผมจะได้พานพบกับ "พุทธวจน" ไม่กี่ปีแต่สามารถช่วยให้ผมผ่านจุดนี้ไปได้แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม (ตามต่อต่อนที่ 2 นะครับ)