วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บันทึกการเดินทาง ของลมหายใจ (มะเร็ง )ที่ยังอยู่ ตอนที่ 4.2 ของจริง...สิ่งที่ต้องพิสูจน์



เสียงนาฬิกาข้อมือดังขึ้น ได้เวลาตื่นแล้ว ผมตั้งปลุกไว้ตอนตีสาม ลุกขึ้นมานั่งสักพักช่วงเวลาขนาดนี้ในป่าที่เงียบสงบ อยู่ในเต็นท์ไม่ได้ยินเสียง มองไม่เห็นอะไรเลย ข้างนอกมันคงมืดสนิทเป็นแน่ ว่าแล้วคว้านหาไฟฉายขนาดเล็กที่พกมาด้วย ตัดสินใจเปิดเต็นท์ด้วยความกลัว (ใครบ้างจะไม่กลัว ทั้งบริเวณมีแค่คนเดียว) ค่อยโล่งอกหน่อยเพราะที่อุทยานแห่งนี้ไฟฟ้าพร้อมใช้ เปิดไว้ตลอด แต่ตอนอยู่ในเต็นท์มันมืดเอง เลยคิดว่าข้างนอกคงมืด (อย่างนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า) จากนั้นก็จัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้เตรียมเสบียงสำหรับวันนี้ เตาสนาม เพื่อใช้ต้มน้ำ RC ที่ผมใช้ดื่มเป็นประจำแทนน้ำตั้งแต่ผมเป็นมะเร็ง ส่วนที่เหลือจากต้มก็ใช้เป็นข้าวไว้กินต่อได้ ก้มหน้าก้มตาลงมือปฏิบัติภาระกิจให้ลุ่ล่วง ตั้งแต่อาบน้ำ เก็บเต็นท์ และสิ่งของต่าง ๆ เตรียมรถจักรยาน จนลืมไปเลยว่าผมผ่านเมื่อคืนมาได้อย่างไร จำได้แต่เพียงว่า "หลังจากเข้าไปในเต็นท์แล้ว ใช้ยานวดขาทั้งสอง ล้มตัวลง แล้วก็หลับตา จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไร อาจจะเป็นไปได้ว่าเหนื่อยซะขนาดนี้จะไม่หลับได้ยังไง"
เสร็จจากการเตรียมข้าวของต่าง ๆ เวลาผ่านไปก็เกือบหกโมงเช้า คงต้องอำลากันแล้ว ท้องฟ้าเริ่มเปิด ผมต้องแวะไปรับบัตรประชาชนที่ฝากไว้กับที่ทำการอุทยานฯก่อน ออกแต่เช้าหน่อยเลยต้องไปปลุกเจ้าหน้าที่เพราะยังไม่ตื่นเลย จากครั้งนี้ไม่รู้จะมีโอกาสได้มาอีกหรือเปล่า สืบเท้าเข้าหาบันไดกระโจนขึ้นอานมุ่งหน้ากลับบ้าน เก็บเอาความสุขเล็ก ๆ สูดเอาไอธรรมชาติยามเช้าให้เต็มปอด นี้แหละที่เรียกว่าชีวิตต้องเดินต่อไปหากยังมีลมหายใจอยู่
ผมปั่นกลับบ้านก็ใช้เส้นทางเดิม มีทั้งแวะและหลงทาง ที่แวะก็คือ แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ธรรมราชานุสรณ์สถาน (ร.๕) ผมผ่านเพียงถ่ายรูปไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะยังเช้าอยู่ แต่สวยงามมากครับ หากมีเพื่อนพี่น้องผ่านมาทางนี้แนะนำครับ เสียดายที่ป้ายทางเข้าไม่ได้ใหญ่มากหากไม่สังเกตุหรือขับรถเร็ว ๆ จะมองไม่เห็น ส่วนที่หลงแรกคือ ผมตั้งใจไว้ว่าจะแวะไปอ่างเก็บน้ำประแสร์ ทางเข้าเข้าไปได้แต่ทางที่จะลงไปยังอ่างไม่รู้ไปทางไหน อย่างว่าคนไม่เคยไปอ่าง.....(อย่าคิดมาก) อ่างเก็บน้ำเลยไปไม่เป็น หลงที่สองหลังจากหาทางลงอ่าง.....เก็บน้ำไม่เจอ เลยหยุดรถเพื่อดูแผนที่ในโทรศัพท์มือถือ มีเส้นทางพอให้ออกไปถนนใหญ่ได้ โดยไม่ผ่าน อ.วังจันทร์ ผลปรากฏว่าหลงเข้าไปในสวนยางของชาวบ้าน จนต้องถามเจ้าของพื้นที่ ถึงจะหลุดออกมาได้ เฮ้อ...แน่นอก ไม่ใช่...โล่งอก
วันนี้ไม่มีฝน ไม่มีความครึ้มให้หลงเหลือเลยว่าฝนตก มีแต่แดดกับแดดอย่างเดียว เมื่อวานที่ปั่นมาดูเหมือนว่าระยะทางมันไกล ด้วยเหตุเพราะเราไม่เคยผ่าน แต่วันนี้ขากลับนี่ซิ คุ้นเคยแล้วกับเส้นทางที่ผ่านเมื่อเจอะเจออีกครั้งอันนี้ อันโน้นก็ผ่านมาแล้ว เอ้อมันช่างรวดเร็วเพียงไม่นานก็ผ่านมาครึ่งทางแล้ว ผมปรับเส้นทางกลับอีกครั้ง (ยังไม่เข็ดกัลหลงแรก) โดยเมื่อผ่าน บ้านระเวิงหลังนิคมอีสเทริน์ฯจะไปออกสนามกอล์ฟพัฒนาสปอร์ตคลับ จากเดิมออกไปทางนิคมบ่อวิน ผมมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนเพื่อผ่านหน้านิคมปิ่นทอง ทะลุไปออกอ่างเก็บน้ำหนองคล้อ และก็ลัดเลาะเส้นทางที่ปั่นจักรยานเป็นประจำนั่นคือถนนเส้นหลังนิคมปิ่นทอง 2 และก็กลับบ้าน ช่วงนี้เองมีเรื่องขำ ๆ เกิดขึ้น (จากวันแรกเจอเรื่องเกือบขำ...ไม่ออก) 
 ผมปั่นมาเกือบจะถึงทางเข้าด้านหลังของนิคมบ่อวิน ได้ยินเสียง “เฮ้ เฮ้”
ผมหันไปมองเห็นมอเตอร์ไซค์พ่วงด้วยผลไม้ต่าง ๆ (รถขายผลไม้นั่นเอง จะพูดให้มันยากทำไม????) ขับมาขนาบข้าง ผมก็นึกในใจจะเกิดอะไรไม่เนี่ยจะถึงบ้านอยู่แล้ว
สักพักชายผู้ขับ (พ่อค้า) ก็พูดว่า “ฟรุต ฟรุต” พร้อมชี้ไปที่ผลไม้
"อะไรของเค้านะ" ผมคิดอีก อ้อแกจะบอกผมว่า “ผลไม้ไหม” โธ่ที่แท้นึกว่าเราเป็นพวกชาวต่างชาติ เห็นปั่นรถจักรยาน พยายามพูดภาษาอังกฤษ ผมได้ที่เอ้าสวมบทบาทซะหน่อย ในเมื่อให้เป็นผรั่งแล้ว ก็เลยโบกมือส่งสัญญาณส่ายไปมาบ่งบอกว่า “ไม่เอา”
สงสัยแกคงมีวิญญาณของนักขายมือทอง ยังคงขับขนาบข้างอยู่พูดต่ออีกว่า “โนมันนี่”
ผมโบกมืออีกครั้ง ส่งยิ้มให้ภายใต้ผ้าปิดปาก ทั้งต้องดันเนินเล็ก ๆ ไปด้วย
แกคงเห็นว่าผมไม่มีท่าทีที่จะกินผลไม้แกแน่ก็เลยถามผมอีกว่า“แวร์ โก”
ผมก็ยังคงใช้มือเป็นสัญลักษณ์อีกเป็นครั้งที่สาม ชี้ไปข้างหน้า (เค้าคงเดาว่าผมเป็นฝรั่งใบ้แหง ๆ แต่ที่แน่ ๆ ผมพูดไม่เป็น 555)
“อ้อ แหลมฉบัง” แกตอบกลับมา
“เข้าใจด้วยแฮะ” ผมนึกในใจ
จากนั้นแกก็บิดรถให้เร็วขึ้น เหลียวหลังพร้อมตะโกนว่า “ไอ เลิฟ ยู” แล้วก็จากไป คงรู้ว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ AEC เลยฝึกไว้ขายผลไม้เป็นแน่
นี่แหละครับมิตรภาพของคนไทยไม่มีพิษภัย แต่จะมีใครโชคดีเช่นที่ผมเจอแบบนี้ จากนั้นก็ก้มหน้าปั่นต่อไป ตามเส้นทาง ถึงบ้านเกือบสี่โมงเย็น สะสมระยะทางไปกลับ 230 กม. เป็นอันว่าจบทริปสั้น ๆ แต่ความทรงจำไม่ได้สั้นเหมือนกับทริปแต่อย่างใด
 "รอยสองล้อที่ย่ำไว้แต่ละรอยยังคงมิลืมเลือน แล้วเราคงได้เจออีกกับเส้นทางที่ฝันและตั้งใจไว้"

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บันทึกการเดินทาง ของลมหายใจ(มะเร็ง)ที่ยังอยู่ ตอนที่ 4.1 ของจริง...สิ่งที่ต้องพิสูจน์



“อย่างนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า”

เป็นพุทธพจน์ที่ใช้ได้อยู่ตลอดเวลา หลายครั้งเรามักจะคิดเอาเองเสมอ ๆ ว่าสิ่งที่เราเห็น เรานึกจะต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่เอาเข้าจริง ๆ มันไม่ใช่อย่างที่คิด อย่างที่เห็น ดังนั้นสิ่งต่าง ๆ ต้องให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้สัมผัสก่อนจึงจะเชื่อได้ ผมเองก็ต้องพิสูจน์ในสิ่งที่ผมคิดไว้ว่าเป็นจริงเช่นนั้นหรือไม่ เราทำได้รึเปล่าการได้ขี่จักรยานผจญไปตามที่คนอื่น ๆ เค้าทำกัน คิดแต่ว่าไม่ยาก สบาย ว่าแล้วก็จัดไปสำหรับ ทัวร์ริ่งมือใหม่...หัวใจว้าวุ่น อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง จ.ระยอง (ถ้าไม่ได้ทำตอนนี้ ไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไหร่)  
 จากที่วางเส้นทางจากบ้านไปอุทยานฯ ไว้ระยะประมาณ 113 กม. ไปแล้วกลับก็ประมาณ 200 กม. ในวันเดียวคงไม่ไหว ต้องค้างคืนดีกว่า ครั้นจะปั่นไปแล้วพักรีสอร์ทก็งั้น ๆ มันต้องนอนเต็นท์ถึงจะได้บรรยากาศ เลยต้องการเตรียมอุปกรณ์ภาคสนามไม่ว่าจะเป็นเต็นท์ เครื่องนอน พร้อมอุปกรณ์เตาสนาม และต้องมีการทดสอบ ตั้งแต่กางเต็นท์ดูว่าทำอย่างไรจัดเก็บอย่างไร จริง ๆ อยากจะลองนอนดูก่อนด้วยซ้ำว่าจะนอนหลับรึเปล่า แต่พอกางเต็นท์ออกเท่านั้นแหละ เจ้าลูกสาวคนเดียวก็เข้ามาพร้อมบอกว่าขอนอนด้วย แล้วเต็นท์ที่จัดหามาก็เฉพาะคนเดียวเท่านั้น เลยต้องพับเก็บและไปนอนจริงในที่ที่จะไปเลยแล้วกัน ทุกอย่างพร้อมแล้ว...ลุย
วันที่ 14 กันยายน 2556 ทริปนี้ต้องตื่นเร็วกว่าปกตินิดหน่อยเพราะต้องเตรียมสัมภาระมากขึ้น กว่าจะจัดเข้ากับรถก็เกือบตีห้าแล้ว ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางเป็นช่วงฝนตกพอดี ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ฝนตกในวันที่จะเดินทางแต่การภาวนาไร้ผล เพราะเอาเข้าจริง ฝนกระหน่ำตั้งแต่กลางคืนแล้วยังดีที่ก่อนออกฝนหยุดไปเล็กน้อย Where Where is a where where ลุยมันทั้งที่ฝนตกนั่นแหละ เส้นทางที่ผมไปเริ่มจากปั่นออกไปทาง หนองปรือ ห้วยสะพาน ผ่านนิคมเหมราชบ่อวิน ทะลุสนามกอลฟ์พัฒนาสปอร์ตคลับ ลัดเลาะด้านหลังนิคมอีสเทิร์นซีบอร์ด ผ่านบ้านระเวิง
ความเจริญ (ไม่แน่ใจว่าเป็นความเจริญรึเปล่า) ได้ผ่านเข้าไปยังพื้นที่ซึ่งแต่เดิมเป็นไร่มัน ไร่สัปปะรด และคงจะรุกคืบไปเรื่อย ๆ เพราะที่ผมผ่านมามีแต่ป้ายประกาศขายที่ดินไม่ใช่ผืนเล็ก ๆ แต่เป็นผืนใหญ่ตั้งแต่ 20-30 ไร่ขึ้นไป ผมปั่นไปพร้อมกับมองไร่สัปปะรดที่สักวันหนึ่งคงจะกลายเป็นตำนานให้เล่าขานถึงความหวานฉ่ำของมัน จนถึงถนน 3245 และก็มุดผ่าเข้าไปในสวนยาง และปาล์ม ถนนเส้นรองนี้เงียบเหงามากรถน้อย เป็นไปตามที่คาดหวังไว้คือ ปั่นได้อย่างสบายใจ ถนนนี้เป็นของข้า แต่ก็ต้องผจญกับเนินเล็กเนินน้อยสลับกันไปไม่มีทางราบให้ปั่นได้สบายเลย จนถึงเขาซก ผมหยุดที่นี้หลังจากปั่นมาได้ครึ่งทาง ใช้ศาลาของศาลเจ้าเป็นที่พักเพิ่มพลังซักหน่อย ฝนยังริน ๆ ยังคิดในใจว่าโชคดีจริง ๆ วันนี้ไม่ร้อนเลย

พอคลายเหนื่อย กลับขึ้นบนอานอีกครั้งออกไป พร้อมกับความชุ่มช่ำของฝน คราวนี้มุ่งสู่ถนนใหญ่ 4 เลน ป้ายหน้าที่ อ.วังจันทร์ ยังคงปั่นไปเรื่อย ๆ พอถึง อ.วังจันทร์ ขอพักเข้าห้องน้ำขาเริ่มล้าขึ้นมาหยุดที่ปั๊มน้ำมัน มองดูระยะทางโอ้...อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว เกือบ 30 กม. สู้ต่อไปทาเคชิ (เกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย)
 
ก่อนที่จะเข้ากิ่งอ.เขาชะเมาประมาณ 2 กม. ฝนกระหน่ำลงมาอย่างแรง พร้อมทั้งข้าศึกผู้ไม่หวังดีมาเบียดเบียน แล้วจะแวะที่ไหนหละข้างทางก็คงไม่สะดวก ปั๊มน้ำมันก็ไม่มี ข้างหน้าเป็น วัดถ้ำสุวรรณคูหา ขอหลบฝนพร้อมทำภาระกิจเบาสักหน่อย หันหัวจักรยานเข้าไปเจอศาลาใหญ่ได้หลบอย่างสบายใจ มองไปข้างหลังอ้าวมีเมรุไว้เผาศพด้วยที่แท้เป็นศาลาสวดศพ แล้วไหงมาตั้งซะหน้าวัดขนาดนี้ มาถึงแล้วครั้นจะ u-turn อุปสรรคทั้งฝนทั้งข้าศึก “แวะไม่นานก็ไปแล้วเป็นกลางวันด้วยคงไม่มีอะไร” ผมนึก ว่าแล้วก็หยุดรถจักรยานอยู่ที่ริมศาลา ไม่เข้าไปข้างไน จอดนิ่งสนิท หันมองเข้าไปข้างในมีที่นั่งยาว ๆ คล้ายโซฟาอยู่เพียงลำพัง เพ่งมองเข้าไปเอ๊ะเหมือนสภาพคล้ายคนนอนคลุมผ้าอยู่ เอาละหว่าชักจะยังไง เสียงฝนฟ้าก็เป็นใจสะขนาดนั้น ถอดแว่นตาที่เปียกเม็ดฝนออกมาเช็ดกับเสื้อที่เปียกนั้นแหละ หันมองให้ชัด ๆ อีกสักครั้ง "เอ้ามีขยับพลิกตัวกลับมา ชายผ้าค่อย ๆ เลื่อนลงตกมาด้านล่าง สีของผ้าออกเหลือง ๆ ด้านบนไม่มีผ้าคลุม เห็นศรีษะไม่มีผม".....................ที่แท้เป็นพระที่แอบมานอนกลางวันนี่เอง เล่นซะตกใจฉี่แทบเล็ด กำลังปวดอยู่พอดี หยุดทำใจให้หายตื่นเต้นได้สักครู่ เดินไปด้านหลังของศาลาเพื่อไปเข้าห้องน้ำคงไม่ต้องบอกถึงลักษณะทั่วไปของห้องน้ำในวัด ยิ่งวัดที่ผ่านนี้เป็นวัดป่าด้วย เสร็จกิจธุระได้แต่ยืนรอให้ฝนหยุด พร้อมกับมองไปยังพระที่ยังนอนอยู่ เดี๋ยวท่านจะลุกขึ้นมาไม่ให้สุ่มเสียงเดินมาทักข้างหลังจะตกใจเป็นรอบสอ

หลังจากผ่านเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นเล็กน้อย ผมก็ออกเดินทางต่อไป เป็นไปอย่างทุกครั้ง ใกล้ช่วงสุดท้ายของระยะทางไม่รู้จะหาก๊อกสองมาจากไหน แต่ถึงอย่างไงมันก็ไปได้เรื่อย ๆ แค่เห็นป้ายทางเข้าอุทยานฯใจที่แถบจะทรุดลงมันก็มีแรงขึ้นมาทันใด ผมถึงที่นี้เวลา 14:30 น. ที่ด่านก็จัดการเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ 40 บาท ได้สนทนากับเจ้าหน้าที่ตรงด่านเล็กน้อย "มาจากไหนครับเนี่ย” เจ้าหน้าที่ถาม “ศรีราชา” ผมตอบ เสียงอุทานด้วยความตกใจหรือตื่นเต้นว่าไอ้นี้บ้ารึเปล่าเนี่ย “ปั่นมาได้กี่กิโล มีตัวจับระยะทางไหม แล้วออกมากี่โมง” “ประมาณ 113 ครับ ออกประมาณตีห้า” ผมตอบให้ครบคำถาม “มีที่กางเต็นท์ได้ใช่ไหมครับ” ผมถามบ้าง “อ้อได้ไปติดต่อข้างในนะด้านซ้ายมือ เสียค่ากางเต็นท์ 30 บาท มีเต็นท์มาด้วยรึเปล่า” เจ้าหน้าที่ตอบ ”มีครับ ขอบคุณครับ” ผมแจ้งกลับไป เจ้าหน้าที่ผู้ชายที่อยู่ข้างนอกป้อมมีแซวบอกกับเจ้าหน้าทีผู้หญิงที่อยู่ในป้อมว่า “เอ้าเดี๋ยวขากลับไปด้วยกับเขาเลยซิ” ผมได้แต่ยิ้ม ๆ เดินจูงรถออกมา เพราะมีขบวนบิ๊กไบค์ 5 คันมารอจ่อคิวที่จะเสียค่าธรรมเนียมเหมือนกัน
เป็นอันว่าถึงจุดหมายเรียบร้อย เข้าไปชำระค่าธรรมเนียมอีกครั้งสำหรับค่ากางเต็นท์ พร้อมกับคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่ช่วยบอกสถานที่กางเต็นท์ ผมก็ค่อย ๆ จูงรถเดินไปยังที่ที่จะต้องซุกหัวนอนคืนนี้ ผู้คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะมาเที่ยวน้ำตกกัน สำหรับวันนี้คนค่อนข้างบางตา อาจจะเป็นเพราะฝนตกก็เป็นได้ บริเวณจุดกางเต็นท์เป็นพื้นที่ขนาดประมาณ 10X10 เมตร มีอยู่ 4 จุดใกล้ ๆ กัน แสดงว่าต้องมีคนมาพักกางเต็นท์ที่นี้เยอะถึงต้องมีพื้นที่ขนาดนี้ไว้รองรับ แต่สำหรับคืนนี้มีเพียงผมคนเดียวผมเลือกจุดที่ใกล้ห้องน้ำ เพื่อจะได้มีโอกาสได้ใช้ในตอนกลางคืน ไม่ต้องเดินไกลมาก (จริง ๆ กลัวมากกว่า) จัดแจงเลือกทำเล กางเต็นท์ จัดข้าวของซุกเข้าไปในเต็นท์ จากนั้นกินข้าวไม่รู้ว่ามื้อเที่ยงหรือเย็น รวบยอดไปพร้อมกันทั้งสองมื้อเลย
เวลาผ่านไปก็เกือบจะห้าโมงแล้ว อาบน้ำและพักร่างกายคลายความเหนื่อยล้า นั่งอยู่ในศาลาใกล้ ๆ จุดกางเต็นท์ครุ่นคิด มองต้นไม้รอบ ๆ ตัว ที่ชุ่มชื่นด้วยฝน กลิ่นไอดินหลังฝนตกมันเป็นอะไรที่ให้ความสดชื่นมาก เสียงแมลงเริ่มระงมกันให้ทั่วบริเวณ นี้เองที่เรียกว่า ธรรมชาติ แม้จะเป็นผืนป่า ที่มีคนผ่านมามากมาย แต่ก็ยังมองเห็นถึงความชุมฉ่ำ แล้วถ้าเป็นป่าอนุรักษ์ที่ต้องรักษาไว้จะขนาดไหน (อารมณ์ไปแนวร่วมกับผืนป่าตะวันตกแล้ว) ผมปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปเรื่อย ๆ จะไม่ให้ทำอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะรอบ ๆ ผมแทบจะหาคนเดินผ่านไปมาไม่มีเลยก็ว่าได้ แว่บหนึ่งของความคิดก็ผุดขึ้นมา แล้วคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นไหม...... ว่าแล้วก็เดินเข้าไปในเต็นท์นอนฟังเสียงดนตรีธรรมชาติจากภายนอกที่จะเริ่มบรรเลงกันในไม่ช้า

(ตามต่อตอนที่ 4.2 นะครับ)