เสียงนาฬิกาข้อมือดังขึ้น ได้เวลาตื่นแล้ว ผมตั้งปลุกไว้ตอนตีสาม ลุกขึ้นมานั่งสักพักช่วงเวลาขนาดนี้ในป่าที่เงียบสงบ
อยู่ในเต็นท์ไม่ได้ยินเสียง มองไม่เห็นอะไรเลย ข้างนอกมันคงมืดสนิทเป็นแน่ ว่าแล้วคว้านหาไฟฉายขนาดเล็กที่พกมาด้วย
ตัดสินใจเปิดเต็นท์ด้วยความกลัว (ใครบ้างจะไม่กลัว ทั้งบริเวณมีแค่คนเดียว) ค่อยโล่งอกหน่อยเพราะที่อุทยานแห่งนี้ไฟฟ้าพร้อมใช้
เปิดไว้ตลอด แต่ตอนอยู่ในเต็นท์มันมืดเอง เลยคิดว่าข้างนอกคงมืด
(อย่างนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า) จากนั้นก็จัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้เตรียมเสบียงสำหรับวันนี้
เตาสนาม เพื่อใช้ต้มน้ำ RC ที่ผมใช้ดื่มเป็นประจำแทนน้ำตั้งแต่ผมเป็นมะเร็ง
ส่วนที่เหลือจากต้มก็ใช้เป็นข้าวไว้กินต่อได้ ก้มหน้าก้มตาลงมือปฏิบัติภาระกิจให้ลุ่ล่วง
ตั้งแต่อาบน้ำ เก็บเต็นท์ และสิ่งของต่าง ๆ เตรียมรถจักรยาน จนลืมไปเลยว่าผมผ่านเมื่อคืนมาได้อย่างไร
จำได้แต่เพียงว่า "หลังจากเข้าไปในเต็นท์แล้ว ใช้ยานวดขาทั้งสอง ล้มตัวลง แล้วก็หลับตา
จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไร อาจจะเป็นไปได้ว่าเหนื่อยซะขนาดนี้จะไม่หลับได้ยังไง"
เสร็จจากการเตรียมข้าวของต่าง ๆ เวลาผ่านไปก็เกือบหกโมงเช้า
คงต้องอำลากันแล้ว ท้องฟ้าเริ่มเปิด
ผมต้องแวะไปรับบัตรประชาชนที่ฝากไว้กับที่ทำการอุทยานฯก่อน ออกแต่เช้าหน่อยเลยต้องไปปลุกเจ้าหน้าที่เพราะยังไม่ตื่นเลย
จากครั้งนี้ไม่รู้จะมีโอกาสได้มาอีกหรือเปล่า
สืบเท้าเข้าหาบันไดกระโจนขึ้นอานมุ่งหน้ากลับบ้าน เก็บเอาความสุขเล็ก ๆ
สูดเอาไอธรรมชาติยามเช้าให้เต็มปอด
นี้แหละที่เรียกว่าชีวิตต้องเดินต่อไปหากยังมีลมหายใจอยู่
ผมปั่นกลับบ้านก็ใช้เส้นทางเดิม มีทั้งแวะและหลงทาง ที่แวะก็คือ
แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ธรรมราชานุสรณ์สถาน (ร.๕)
ผมผ่านเพียงถ่ายรูปไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะยังเช้าอยู่ แต่สวยงามมากครับ หากมีเพื่อนพี่น้องผ่านมาทางนี้แนะนำครับ
เสียดายที่ป้ายทางเข้าไม่ได้ใหญ่มากหากไม่สังเกตุหรือขับรถเร็ว ๆ จะมองไม่เห็น
ส่วนที่หลงแรกคือ ผมตั้งใจไว้ว่าจะแวะไปอ่างเก็บน้ำประแสร์ ทางเข้าเข้าไปได้แต่ทางที่จะลงไปยังอ่างไม่รู้ไปทางไหน
อย่างว่าคนไม่เคยไปอ่าง.....(อย่าคิดมาก) อ่างเก็บน้ำเลยไปไม่เป็น
หลงที่สองหลังจากหาทางลงอ่าง.....เก็บน้ำไม่เจอ เลยหยุดรถเพื่อดูแผนที่ในโทรศัพท์มือถือ
มีเส้นทางพอให้ออกไปถนนใหญ่ได้ โดยไม่ผ่าน อ.วังจันทร์ ผลปรากฏว่าหลงเข้าไปในสวนยางของชาวบ้าน
จนต้องถามเจ้าของพื้นที่ ถึงจะหลุดออกมาได้ เฮ้อ...แน่นอก ไม่ใช่...โล่งอก
วันนี้ไม่มีฝน ไม่มีความครึ้มให้หลงเหลือเลยว่าฝนตก
มีแต่แดดกับแดดอย่างเดียว เมื่อวานที่ปั่นมาดูเหมือนว่าระยะทางมันไกล ด้วยเหตุเพราะเราไม่เคยผ่าน
แต่วันนี้ขากลับนี่ซิ คุ้นเคยแล้วกับเส้นทางที่ผ่านเมื่อเจอะเจออีกครั้งอันนี้ อันโน้นก็ผ่านมาแล้ว เอ้อมันช่างรวดเร็วเพียงไม่นานก็ผ่านมาครึ่งทางแล้ว ผมปรับเส้นทางกลับอีกครั้ง (ยังไม่เข็ดกัลหลงแรก) โดยเมื่อผ่าน บ้านระเวิงหลังนิคมอีสเทริน์ฯจะไปออกสนามกอล์ฟพัฒนาสปอร์ตคลับ
จากเดิมออกไปทางนิคมบ่อวิน ผมมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนเพื่อผ่านหน้านิคมปิ่นทอง ทะลุไปออกอ่างเก็บน้ำหนองคล้อ
และก็ลัดเลาะเส้นทางที่ปั่นจักรยานเป็นประจำนั่นคือถนนเส้นหลังนิคมปิ่นทอง 2 และก็กลับบ้าน ช่วงนี้เองมีเรื่องขำ ๆ เกิดขึ้น (จากวันแรกเจอเรื่องเกือบขำ...ไม่ออก)
ผมปั่นมาเกือบจะถึงทางเข้าด้านหลังของนิคมบ่อวิน ได้ยินเสียง “เฮ้ เฮ้”
ผมหันไปมองเห็นมอเตอร์ไซค์พ่วงด้วยผลไม้ต่าง ๆ (รถขายผลไม้นั่นเอง จะพูดให้มันยากทำไม????) ขับมาขนาบข้าง ผมก็นึกในใจจะเกิดอะไรไม่เนี่ยจะถึงบ้านอยู่แล้ว
สักพักชายผู้ขับ (พ่อค้า) ก็พูดว่า “ฟรุต ฟรุต” พร้อมชี้ไปที่ผลไม้
"อะไรของเค้านะ" ผมคิดอีก อ้อแกจะบอกผมว่า “ผลไม้ไหม” โธ่ที่แท้นึกว่าเราเป็นพวกชาวต่างชาติ เห็นปั่นรถจักรยาน พยายามพูดภาษาอังกฤษ ผมได้ที่เอ้าสวมบทบาทซะหน่อย ในเมื่อให้เป็นผรั่งแล้ว ก็เลยโบกมือส่งสัญญาณส่ายไปมาบ่งบอกว่า “ไม่เอา”
สงสัยแกคงมีวิญญาณของนักขายมือทอง ยังคงขับขนาบข้างอยู่พูดต่ออีกว่า “โนมันนี่”
ผมโบกมืออีกครั้ง ส่งยิ้มให้ภายใต้ผ้าปิดปาก ทั้งต้องดันเนินเล็ก ๆ ไปด้วย
แกคงเห็นว่าผมไม่มีท่าทีที่จะกินผลไม้แกแน่ก็เลยถามผมอีกว่า“แวร์ โก”
ผมก็ยังคงใช้มือเป็นสัญลักษณ์อีกเป็นครั้งที่สาม ชี้ไปข้างหน้า (เค้าคงเดาว่าผมเป็นฝรั่งใบ้แหง ๆ แต่ที่แน่ ๆ ผมพูดไม่เป็น 555)
“อ้อ แหลมฉบัง” แกตอบกลับมา
“เข้าใจด้วยแฮะ” ผมนึกในใจ
จากนั้นแกก็บิดรถให้เร็วขึ้น เหลียวหลังพร้อมตะโกนว่า “ไอ เลิฟ ยู” แล้วก็จากไป คงรู้ว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ AEC เลยฝึกไว้ขายผลไม้เป็นแน่
นี่แหละครับมิตรภาพของคนไทยไม่มีพิษภัย แต่จะมีใครโชคดีเช่นที่ผมเจอแบบนี้ จากนั้นก็ก้มหน้าปั่นต่อไป ตามเส้นทาง ถึงบ้านเกือบสี่โมงเย็น สะสมระยะทางไปกลับ 230 กม. เป็นอันว่าจบทริปสั้น ๆ แต่ความทรงจำไม่ได้สั้นเหมือนกับทริปแต่อย่างใด
"รอยสองล้อที่ย่ำไว้แต่ละรอยยังคงมิลืมเลือน แล้วเราคงได้เจออีกกับเส้นทางที่ฝันและตั้งใจไว้"