2. จุดเปลี่ยนที่สอง
: เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ) หลังจากที่หมอตรวจเอกสารพูดคุยเสร็จ
ผมต้องไปทำการมาร์คจุดเพื่อทำการฉายรังสี (มาหาข้อมูลเพิ่มเติมภายหลังคือ
ต้องทำการจำลองการฉายแสง) ผมเดินตามเจ้าหน้าที่ไปชั้นสามของอาคาร
เป็นห้องคล้ายห้องเอกซ์เรย์ วิธีการนั้นไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก นอนหงายนิ่ง ๆ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เดินไปที่ห้องควบคุมปิดไฟ
สักครู่เดียวก็เดินออกมา นำเอาปากกามาแต้มที่หน้าอกด้านหน้า (ตามรูปที่เป็นเส้นสีแดงโดยประมาณ)
คาดว่าน่าจะใช้ฟิลม์เอกซ์เรย์ในการที่จะดูตำแหน่งในการฉายรังสี เสร็จจากการจำลองการฉายแสง ผมกลับลงมาที่ชั้นหนึ่งของอาคาร
รอเรียกชื่อเพื่อฉายแสง
ผมเดินเข้าห้องฉายแสงด้วยความรู้สึกกังวลและกลัว
ลักษณะภายในก็เหมือนห้องเอกซ์เรย์เช่นเดียวกัน มีเจ้าหน้าที่ 2 ท่านที่ทำหน้าที่ จัดท่าผมให้นอนหงายนิ่ง ๆ โดยดูจากตำแหน่งที่ทำสัญญาลักษณ์ไว้ และปิดไฟ แต่จะมีแสงไฟสลัวสีส้มพอให้มองเห็นพร้อมแสงเลเซอร์สีแดงเล็ก
ๆ เพื่อบ่งชี้ตำแหน่งที่จะฉายรังสี
ทางเจ้าหน้าที่จะตั้งเครื่องฉายแสงให้ตรงกับตำแหน่งที่มาร์คไว้แล้ว
จากนั้นก็จะแต้มสีเรืองแสงซ้ำที่เดิม สีที่แต้มนี้ ห้ามโดนน้ำ ห้ามลบออก
จนกว่าจะฉายแสงครบ คิดเอาเองว่าถ้าสัก 30 ครั้ง บริเวณดังกล่าวนั้นไม่โดนน้ำ
มันจะคันขนาดไหน แต่ก็สามารถใช้ผ้าชุบน้ำซับเบา ๆ เพื่อรักษาความสะอาดได้
เมื่อเจ้าหน้าที่จัดตำแหน่งต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว เปิดไฟอีกครั้ง
ตัวเครื่องที่ใช้สำหรับฉายแสงก็จะหมุนไปทางด้านหลังของผม ซื่งเป็นตำแหน่งของผม
แต่สำหรับคนไข้รายอื่น ๆ ก็แล้วแต่ว่าตำแหน่งจะอยู่บริเวณใด เจ้าหน้าที่ก็เดินออกจากห้องไปพร้อมพูดว่า “นอนนิ่ง ๆนะ” ทำการล๊อกห้อง ทิ้งให้ผมอยู่กับความเงียบในห้องอย่างนั้น ไม่นานก็มีเสียง
แต็ก ๆ 2 ครั้ง และก็ดังถี่ ๆ โดยประมาณ 1 นาที เสียงประตูก็เปิดเป็นอันว่าเรียบร้อยแล้วในการฉายแสง 1 ครั้ง ถามว่าเป็นยังไง ผมตอบได้เลยว่ายังไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ตอนนี้ผมมีรังสีอยู่ในตัวเรียบร้อยแล้ว
คนไข้อื่น ๆ ก็ไม่ต่างจากผม เข้าไปใช้เวลาประมาณนี้ก็ออกจากห้อง เดินกลับบ้านไป
ผมต้องเข้าออกห้องนี้แหละทั้งหมด 10 ครั้ง ใน 5 ครั้งแรกในการฉายแสงก็ปกติดี แต่ 5 ครั้งที่สองที่จะครบกำหนดในการฉายแสงนี้สิเกิดเหตุผิดปกติขึ้น
ไม่ใช่กับผมนะครับ แต่เป็นกับเครื่องที่ฉายแสง เมื่อผมเข้ารับการฉายแสงในวันที่ 3
ของครั้งที่สองนี้ เกิดเหตุเครื่องเสีย ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์โทรแจ้ง
ทำให้ผมต้องหยุดฉายแสงไม่ได้ต่อเนื่อง ใช้เวลา 2 วันก็ทำการซ่อมเครื่องเสร็จผมก็ได้ฉายแสงต่อได้
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผมก็มีไม่มาก เฉพาะวันที่ 5 ของการฉายแสงรอบแรกเท่านั้นที่มีความรู้สึกเพลียนิด
ๆ อาการอย่างอื่นที่ได้ความรู้มาเช่น เบื่ออาหาร ฯลฯ สำหรับผมไม่เกิดขึ้นนับว่าเป็นความโชคดีแล้ว
ความรู้เพิ่มเติม :
รังสีรักษาคืออะไร?
โดยทั่วไปแล้ว “รังสีรักษา” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “การฉายรังสี”
เป็นวิธีหนึ่งที่มีการนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเป็นอันดับต้นๆ
รังสีที่ว่านี้จะอยู่ในรูปของคลื่นที่มีพลังงานสูง สามารถทะลุผ่านสิ่งต่างๆ
ได้ดี เช่นรังสีเอกซเรย์ หรือ แกมมาเรย์ หรืออยู่ในรูปของอนุภาค เช่น
ลำรังสีอิเลคตรอน โดยเป้าหมายที่สำคัญของการฉายรังสีคือ
ทำให้ก้อนมะเร็งได้รับรังสีสูงที่สุดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งในขณะที่อวัยวะ
สำคัญข้างเคียงจะต้องได้รับรังสีน้อยที่สุดเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิด
ขึ้นจากการฉายรังสี
วิธีให้รังสีรักษาทำได้อย่างไรบ้าง?
การให้รังสี หรือฉายแสงทำได้
2 วิธีคือ
- การฉายรังสีจากภายนอก (External Radiation Therapy) โดยจะสามารถส่งผ่านลำรังสีพลังงานสูงนี้ไปยังเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ (Linear Accelerator) แม้ว่าก้อนมะเร็งนั้นจะอยู่ตรงตำแหน่งไหนของร่างกาย
- การฉายรังสีแบบภายใน (Brachytherapy) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "การใส่แร่" ซึ่งก็คือการสอดใส่สารกัมมันตรังสีเช่น อิริเดียม 192 หรือ โคบอลต์ 60 เข้าสู่ร่างกายในตำแหน่งของเนื้องอกโดยตรง มีผลให้เนื้องอกได้รับปริมาณรังสีสูง ในขณะทีอวัยวะสำคัญได้รับรังสีน้อย วิธีนี้เหมาะสำหรับการรักษามะเร็งบางชนิด เช่นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งมดลูก เป็นต้น
(แหล่งข้อมูล : http://www.siphhospital.com/th/news/article-details.php?id=31)
เครื่องใช้รังสีที่ผมไปรักษามีอยู่สองเครื่องคือ
เครื่องโคบอลต์ 60 และ เครื่องไลเเนค
(ตามที่ได้เห็นในสถานพยาบาลดังกล่าว ไม่แน่ใจว่ามีมากกว่านั้นหรือไม่)
สำหรับทั้งสองเครื่องแตกต่างกันอย่างไร
เครื่องโคบอลต์ 60 เป็นชื่อของแร่กัมมันตภาพรังสี
แร่นี้จะแผ่รังสีออกมาตลอดเวลาตามอายุของแร่
เครื่องมือไม่ซับซ้อนเหมาะกับการรักษามะเร็งบริเวณผิวตื้น ๆ อำนาจทะลุทะลวงไม่มาก
มักจะใช้กับมะเร็งผิวหนัง คอ หน้า เป็นเครื่องที่มีมาก่อนเครื่องไลแนค (LINAC)
เครื่องไลแนค
เป็นเครื่องเร่งอนุภาคใช้หลักการให้ไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ซึ่งระดับของพลังงานที่เกิดขึ้น
ทำให้ฉายแสงกับมะเร็งได้ทั้งบริเวณที่อยู่ลึกและบริเวณที่อยู่ตำแหน่งตื้น ๆ ได้
ตำแหน่งที่เครื่องโคบอลต์ทำได้ไม่ดีเท่าเครื่องไลแนคคือ มะเร็งที่อยู่ลึก ๆ เช่น
มะเร็งสมอง ศรีษะ ลำคอ ต่อมลูกหมาก ปอด
เครื่องไลแนคเหมาะกับมะเร็งที่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการความแม่นยำสูง ๆ ผลข้างเคียงจะน้อยกว่าเครื่องโคบอลต์เพราะรังสีจะทะลุทะลวงลงไปยังก้อนมะเร็ง
จะไม่ถูกบริเวณผิวหนังด้านบนทำให้เกิดการไหม้หรืออักเสบน้อย
สามารถระบุตำแหน่งขอบเขตได้ชัดเจนแม่นยำ
(ข้อมูลและภาพ: หนังสือสยามซีเอ วรสารโรคมะเร็งเพื่อผู้รักสุขภาพ ปีที่ 7 ฉบับที่ 28 ประจำเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2552)
ผมได้รับการรักษาด้วยเครื่องไลแนค
ด้วยเหตุผลอย่างไรหมอไม่ได้บอกผม แต่เมื่อได้อ่านหลักการของเครื่องมือก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีอันตราย
หลังจากที่มีความกังวลและกลัวในช่วงแรก
เข้ามาอ่านแล้วครับ
ตอบลบ