วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 10 : บทส่งท้าย



บทส่งท้าย : หลังจากที่ผมได้รับการรักษาเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็กลับมาใช้ชีวิตจะบอกว่าตามปกติก็คงจะไม่ใช่ เอาเป็นว่าตามสมควรแก่ลักษณะอาการ ล่าสุดที่ไปพบหมอทั้งหมอที่ผ่าตัด และหมอที่สถานพยาบาลมะเร็ง หมอถามว่าผมว่า "ใช้ชีวิตปกติดีนะ ดูแข็งแรงดี" ผมก็ตอบว่า "ครับ" การพูดคุยกับหมอก็โอเคปกติ ผมถามหมอว่า "หมอบอกว่าผมเป็นระยะที่ 4 แล้วอาการที่จะมีต่อไปจะมีอาการที่ไหนอย่างไรบ้างครับ" "ส่วนใหญ่ที่จะพบก็คือปอด ตับ และกระดูก จะพบมากที่ปอด โดยอาการแรก ๆ ก็จะเป็นเรื่องไอนะ" หมอตอบผม จากนั้นหมอก็นัดหมายเพื่อพูดคุยอีกครั้ง 3 เดือนถัดไป มีคนถามว่า "มียากินหรือไม่" ก็ไม่เห็นหมอจะให้อะไรมายกเว้นยาที่ได้หลักจากการผ่าตัด หมอเขียวใจเพชร กล้าจนพูดไว้ว่า หมอที่ดีที่สุดในโลกคือ ตัวคุณเอง และเครื่องมือที่แท้จริงในการรักษาโรค คือร่างกายของเราเอง ผมเองก็มีการปรับเปลี่ยนความเป็นอยู่โดยรวมที่เน้นโดยเฉพาะคือ

1.อาหาร การกิน ก็มีหลายทฤษฏีที่ผมได้ลองค้นหาดู ตัวอย่างเช่น บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่ากินปลาได้ บ้างก็บอกกินไม่ได้ ผมเลยไม่กินมันซะเลย และก็งดเนื้อสัตว์ไปโดยปริยาย จากข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาก็นำเอามาปรับใช้กับตัวเอง โดยยึดหลักที่ว่า ทำอะไรก็ได้ให้เราสบายและพอดีไม่เคร่งครัดเคร่งเครียดจนเกินไป  โดยส่วนใหญ่จะเน้นอาหารที่เป็นผักและธัญพืช (พวกถั่วต่าง ๆ) ไม่ได้เฉพาะเจาะจงต้องเป็นผักปลูกเองที่ไม่ใช้สารเคมี แล้วแต่ที่จะสามารถหาได้ รสชาติของอาหารก็จะให้จืดเป็นหลัก ที่ทำเป็นประจำก็คือ  
  • ช่วงเช้าก็จะมีน้ำข้าว RC น้ำย่านาง ดื่มตั้งแต่เช้ามืดเลย พวกอาหาร ผัดผัก ต้มผัก แล้วแต่วัน (ขึ้นกับอารมณ์ของภรรยาว่าจะทำอะไรให้) และก็มีน้ำซุปโพแทสเซียม เอาไว้ทำเป็นน้ำซุปทำกับข้าว (แหล่งที่มาของน้ำซุปโพแทสเซียม http://khampramong.org/cancer5.html)
  • ผลไม้ก็กล้วย แอ็ปเปิ้ล มะละกอ
  • มื้อเย็นผมจะกินถั่วเขียวผสมลูกเดือยต้ม (อันนี้ผมคิดเองว่าจะต้องกินแบบนี้) กินแบบนี้ทุกวัน  
  • น้ำเปล่าที่ใช้ดื่มก็จะเป็นน้ำอัลคาไลน์แทน ดื่มให้ได้ประมาณวันละ 1 ลิตร 
  • ที่เพิ่มเข้ามาอีกก็จะมีวิตามินเสริมที่ได้จากพี่ชายเขียนมา ให้ไปหาซื้อมากินเพิ่ม โดยได้มาจากผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากกินแล้วหาย คือ Betacarotene 36 mg, Vitamin C 3000 mg, Vitamin E 400 IU, Se 400 ug, Vitamin B1,B6,B12(บีรวม), Co-enzyme Q10, Folic 5 mg, BioZinc, Evening Primrose ไปหาซื้อตามร้านขายยาต่าง ๆ ทุกอย่างที่เขียนมาลองเอาไปใช้ดูก็ได้ครับ
2. การออกกำลังกาย หลังจากที่ผมเดินได้บ้างแล้ว ผมก็เริ่มวิ่งเบา ๆ จากนั้นผมก็กลับมาปั่นจักรยานอีกครั้ง การออกกำลังกายที่ผมทำทุกวันก็จะขี่จักรยานอย่างน้อยสักวันละ 30 นาทีทุกวัน และต้องให้หัวใจเต้น 140 ครั้งต่อนาที สิ่งที่ตามมาของการออกกำลังกายก็คือสามารถนอนหลับพักผ่อนได้เต็มที่ เมื่อหลับสนิทโดยเฉพาะในช่วง 22:00-02:00 น. ร่างกายจะมีหลั่งฮอร์โมนที่ดีนั่นคือ โกรทฮอร์โมน ซึ่งจะสามารถช่วยให้ร่างกายได้พักฟื้นฟูสภาพ และคงความสมดุลของร่างกาย (ข้อมูลในเว็ปไซด์ว่าไว้) การนอนหลับพักผ่อนของผมโชคดี ก็คือตั้งแต่มีลูกสาว ผมจะกึ่งบังคับให้ลูกสาวผมนอนตั้งแต่ สามทุ่มเป็นต้นไปตั้งแต่เล็ก ๆ ผมก็เลยต้องนอนกับลูกสาวด้วย ทำให้ถึงเวลาสามทุ่มเป็นเวลาที่ผมได้พักอย่างเต็มที่ตลอดช่วงกลางคืน

3. ใจ สิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วอะไรที่จะมาช่วยให้จิตใจเข้มแข็งได้ ณ.วินาทีนี้สำหรับผมก็คือธรรมะพุทธวจน การได้รู้จักธรรมะเสพคบอย่างเนื่อง ๆ โดยเฉพาะข้อธรรมที่ผมให้ไว้มาทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่ 1 จนถึงตอนส่งท้ายนี้ ผมจะนำเอาไปพิจารณาอยู่เรื่อย ๆ ทำให้เราปล่อยวางกับสิ่งต่าง ๆ เราอาจจะเคยแต่ได้ยินว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง  ตอนเรายังเป็นวัยรุ่นยังสนุกอยู่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเราไม่เคยถูกสอนมาให้เข้าใจ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” สามคำที่พระตถาคตให้ไว้ เมื่อมีอนิจจัง ก็จะเข้าสู่ทุกขัง นั่นคือมีความทุกข์ สิ่งที่ทำให้ทุกข์ ก็จะเป็นอนัตตา คือ "นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา" ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะสังขารเท่านั้น อีกสิ่งที่ทำเสมอคือทำสมาธิ บางครั้งเราจะบอกว่าเอาเวลาไหนมาทำสมาธิ พระสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุเจริญอานาปานาสติ แม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากณาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ......." (เอก. อํ. ๒๐/๕๔ - ๕๕/๒๒๔.) ส่วนอานาปานสติเป็นอย่างไร ก็คือการรู้ลมหายใจเข้าออก ซึ่งทำได้ทุกสถานที่ทุกเวลา คนเราบางครั้งหากไม่ถึงจุด ๆ หนึ่งของชีวิตอาจจะไม่ได้เลี้ยวกับมามองในสิ่งที่เราอาจจะคุ้นเคยและคุ้นหู



นั่นคือสิ่งที่ผมทำอยู่ แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ทำก็มี ทุกคนมีความฝันมีเป้าหมายที่อยากทำให้ฝันหรือเป้าหมายเป็นจริง ผมก็เช่นกันยังมีความฝันที่ยังอยากจะทำให้สำเร็จ แม้ฝันบางอย่างอาจจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม นั่นคือ
1. ในชีวิตผมเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลเชียร์มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษา ไม่เคยเชียร์ทีมฟุตบอลทีมอื่นเลย คิดว่าอยากจะมีสักครั้งที่ไปเชียร์ทีมลิเวอร์พูลถึงถิ่นจริง ๆ อยากจะไปเยือนสนามแอนฟิลด์ ไปสัมผัสบรรยากาศของเกมส์แดงเดือด ลิเวอร์พูล-แมนฯยู สักครั้ง (อันนี้คงเป็นแค่ฝันจริง ๆ)
2. ผมได้มารู้จักการปั่นจักรยาน รู้สึกความเป็นอิสระเมื่อได้อยู่บนอานจักรยาน จะไปไหนก็ได้ตามใจ สิ่งที่ผมอยากปั่นจักรยานที่จะต้องทำให้ได้คือ 
  • ปั่นจักรยานไปวัดนาป่าพง ลำลูกกาคลอง 10 ปทุมธานี
  • ปั่นจักรยานจากบ้านไปเชียงใหม่  
ทั้งสองอย่างบางคนอาจจะบอกว่าก็ขับรถไปก็ได้ทำไม่ต้องลำบาก แต่ขอตอบว่า รสชาติมันไม่เหมือนกันครับ เป้าหมายแรกอยากจะไปกราบนมัสการพระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัด ที่ทำให้ผมพบแผนที่ของชีวิต และสามารถหาคำตอบที่ผมเคยมีคำถามว่า"ผมเกิดมาทำไม" ส่วนเป้าหมายที่สองมันเป็นอะไรที่บอกไม่ถูก อาจจะมีคำถามว่าทำไม่ต้องเชียงใหม่ ขอตอบว่าถนนที่ไปนั้นมันมีอุปสรรคให้ฝ่าฝัน ไม่ว่าจะเป็นทางที่เป็นเนินเขาให้เผชิญ ฯลฯ รู้สึกท้าทายอวัยวะขาของเรามาก (อันนี้คงทำได้ ไว้จะมาเล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างไร)
3 เป้าหมายใหญ่ของผมก็คือ ผมมีแผนที่ชีวิตแล้วผมจะต้องเดินไปตามแผนที่นั้น ให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อนผมจะไม่มีชีวิตให้ได้

ขอบคุณทุกท่านที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวเนตรวงศ์ พ่อ-แม่ พี่ทุกคน และภรรยา-ลูกสาว, บ.อีสเทิร์นไทย คอนซัลติ้ง 1992 จำกัด ผู้บริหารของบริษัท เพื่อนพี่น้องกัลยาณมิตรที่ร่วมงานด้วย, เพื่อนรามคำแหง"ซุ้มใต้ร่มสน", และผู้ที่ไม่ได้เอ่ยนามที่เป็นกำลังใจแค่คำขอบคุณคงตอบแทนให้ไม่ได้ แต่ก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะขอบคุณ
สถิติผู้รอดชีวิตจากการป่วยด้วยโรคมะเร็งที่มีชีวิตอยู่เกิน 5 ปี คือ 25 เปอร์เซ็นต์ เห็นตัวเลขแล้วมันก็น่าใจหายเหมือนกัน อันนี้แค่ 5 ปีนะ คิดในแง่กลับกันจุดจบของชีวิตทุกคนก็หนีความตายไม่ได้ เป็นเส้นชัยที่ทุกคนถึงแน่นอน (ก่อนจะอ่านย่อหน้าต่อไป กรุณาใส่หูฟังเปิดลำโพงฟังเพลงนี้ไปด้วยครับ อันนี้บังคับ)
 

“กูตาย มึง(มะเร็ง)ตาย” เคยอ่านใน facebook ที่มีกัลยาณมิตรส่งมาให้ "ผมก็จะไม่ยอมแพ้ให้กับมัน ผมรู้ว่าผมไม่ได้สู้กับมะเร็ง แต่ผมสู้กับใจตนเอง มีตั้ง 25 คน ใน 100 คนที่อยู่ได้ ทำไมผมจะเป็นหนึ่งใน 25 คนนั้นไม่ได้ ผมไม่ได้คิดถึงอนาคตว่าผมต้องไม่ตาย หายจากโรคนี้ ณ.วันนี้ผมยังมีแรงมีลมหายใจ ยังสามารถมาทำงานได้ ปั่นจักรยานได้ เล่นกับลูกสาว พาไปเที่ยว ได้ยินเสียงลูกสาวพูดกับผมว่า หนูรักพ่อที่สุด นั่นคือผมอยู่กับปัจจุบัน และผมก็มีความสุขมากที่สุดแล้ว"

แล้วจะมาอัพเดทอาการเป็นระยะให้รับทราบ และขอบคุณที่ติดตาม....สวัสดี

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 9.2



2. จุดเปลี่ยนที่สอง : เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง (ต่อ)  หลังจากที่หมอตรวจเอกสารพูดคุยเสร็จ ผมต้องไปทำการมาร์คจุดเพื่อทำการฉายรังสี (มาหาข้อมูลเพิ่มเติมภายหลังคือ ต้องทำการจำลองการฉายแสง) ผมเดินตามเจ้าหน้าที่ไปชั้นสามของอาคาร เป็นห้องคล้ายห้องเอกซ์เรย์ วิธีการนั้นไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก นอนหงายนิ่ง ๆ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เดินไปที่ห้องควบคุมปิดไฟ สักครู่เดียวก็เดินออกมา นำเอาปากกามาแต้มที่หน้าอกด้านหน้า (ตามรูปที่เป็นเส้นสีแดงโดยประมาณ) 

คาดว่าน่าจะใช้ฟิลม์เอกซ์เรย์ในการที่จะดูตำแหน่งในการฉายรังสี เสร็จจากการจำลองการฉายแสง ผมกลับลงมาที่ชั้นหนึ่งของอาคาร รอเรียกชื่อเพื่อฉายแสง 

ผมเดินเข้าห้องฉายแสงด้วยความรู้สึกกังวลและกลัว ลักษณะภายในก็เหมือนห้องเอกซ์เรย์เช่นเดียวกัน มีเจ้าหน้าที่ 2 ท่านที่ทำหน้าที่ จัดท่าผมให้นอนหงายนิ่ง ๆ โดยดูจากตำแหน่งที่ทำสัญญาลักษณ์ไว้ และปิดไฟ แต่จะมีแสงไฟสลัวสีส้มพอให้มองเห็นพร้อมแสงเลเซอร์สีแดงเล็ก ๆ เพื่อบ่งชี้ตำแหน่งที่จะฉายรังสี ทางเจ้าหน้าที่จะตั้งเครื่องฉายแสงให้ตรงกับตำแหน่งที่มาร์คไว้แล้ว จากนั้นก็จะแต้มสีเรืองแสงซ้ำที่เดิม สีที่แต้มนี้ ห้ามโดนน้ำ ห้ามลบออก จนกว่าจะฉายแสงครบ คิดเอาเองว่าถ้าสัก 30 ครั้ง บริเวณดังกล่าวนั้นไม่โดนน้ำ มันจะคันขนาดไหน แต่ก็สามารถใช้ผ้าชุบน้ำซับเบา ๆ เพื่อรักษาความสะอาดได้ เมื่อเจ้าหน้าที่จัดตำแหน่งต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว เปิดไฟอีกครั้ง ตัวเครื่องที่ใช้สำหรับฉายแสงก็จะหมุนไปทางด้านหลังของผม ซื่งเป็นตำแหน่งของผม แต่สำหรับคนไข้รายอื่น ๆ ก็แล้วแต่ว่าตำแหน่งจะอยู่บริเวณใด เจ้าหน้าที่ก็เดินออกจากห้องไปพร้อมพูดว่า  “นอนนิ่ง ๆนะ” ทำการล๊อกห้อง ทิ้งให้ผมอยู่กับความเงียบในห้องอย่างนั้น ไม่นานก็มีเสียง แต็ก ๆ 2 ครั้ง และก็ดังถี่ ๆ โดยประมาณ 1 นาที เสียงประตูก็เปิดเป็นอันว่าเรียบร้อยแล้วในการฉายแสง 1 ครั้ง ถามว่าเป็นยังไง ผมตอบได้เลยว่ายังไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ตอนนี้ผมมีรังสีอยู่ในตัวเรียบร้อยแล้ว คนไข้อื่น ๆ ก็ไม่ต่างจากผม เข้าไปใช้เวลาประมาณนี้ก็ออกจากห้อง เดินกลับบ้านไป ผมต้องเข้าออกห้องนี้แหละทั้งหมด 10 ครั้ง ใน 5 ครั้งแรกในการฉายแสงก็ปกติดี แต่ 5 ครั้งที่สองที่จะครบกำหนดในการฉายแสงนี้สิเกิดเหตุผิดปกติขึ้น ไม่ใช่กับผมนะครับ แต่เป็นกับเครื่องที่ฉายแสง เมื่อผมเข้ารับการฉายแสงในวันที่ 3 ของครั้งที่สองนี้ เกิดเหตุเครื่องเสีย ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์โทรแจ้ง ทำให้ผมต้องหยุดฉายแสงไม่ได้ต่อเนื่อง ใช้เวลา 2 วันก็ทำการซ่อมเครื่องเสร็จผมก็ได้ฉายแสงต่อได้ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผมก็มีไม่มาก เฉพาะวันที่ 5 ของการฉายแสงรอบแรกเท่านั้นที่มีความรู้สึกเพลียนิด ๆ อาการอย่างอื่นที่ได้ความรู้มาเช่น เบื่ออาหาร ฯลฯ สำหรับผมไม่เกิดขึ้นนับว่าเป็นความโชคดีแล้ว

ความรู้เพิ่มเติม :

รังสีรักษาคืออะไร?

โดยทั่วไปแล้ว “รังสีรักษา” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “การฉายรังสี” เป็นวิธีหนึ่งที่มีการนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเป็นอันดับต้นๆ รังสีที่ว่านี้จะอยู่ในรูปของคลื่นที่มีพลังงานสูง สามารถทะลุผ่านสิ่งต่างๆ ได้ดี เช่นรังสีเอกซเรย์ หรือ แกมมาเรย์ หรืออยู่ในรูปของอนุภาค เช่น ลำรังสีอิเลคตรอน โดยเป้าหมายที่สำคัญของการฉายรังสีคือ ทำให้ก้อนมะเร็งได้รับรังสีสูงที่สุดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งในขณะที่อวัยวะ สำคัญข้างเคียงจะต้องได้รับรังสีน้อยที่สุดเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิด ขึ้นจากการฉายรังสี

วิธีให้รังสีรักษาทำได้อย่างไรบ้าง?

การให้รังสี หรือฉายแสงทำได้ 2 วิธีคือ

  1. การฉายรังสีจากภายนอก (External Radiation Therapy) โดยจะสามารถส่งผ่านลำรังสีพลังงานสูงนี้ไปยังเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ (Linear Accelerator) แม้ว่าก้อนมะเร็งนั้นจะอยู่ตรงตำแหน่งไหนของร่างกาย
  2. การฉายรังสีแบบภายใน (Brachytherapy) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "การใส่แร่" ซึ่งก็คือการสอดใส่สารกัมมันตรังสีเช่น อิริเดียม 192 หรือ โคบอลต์ 60 เข้าสู่ร่างกายในตำแหน่งของเนื้องอกโดยตรง มีผลให้เนื้องอกได้รับปริมาณรังสีสูง ในขณะทีอวัยวะสำคัญได้รับรังสีน้อย วิธีนี้เหมาะสำหรับการรักษามะเร็งบางชนิด เช่นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งมดลูก เป็นต้น

(แหล่งข้อมูล : http://www.siphhospital.com/th/news/article-details.php?id=31)

เครื่องใช้รังสีที่ผมไปรักษามีอยู่สองเครื่องคือ เครื่องโคบอลต์ 60 และ เครื่องไลเเนค (ตามที่ได้เห็นในสถานพยาบาลดังกล่าว ไม่แน่ใจว่ามีมากกว่านั้นหรือไม่) สำหรับทั้งสองเครื่องแตกต่างกันอย่างไร

เครื่องโคบอลต์ 60 เป็นชื่อของแร่กัมมันตภาพรังสี แร่นี้จะแผ่รังสีออกมาตลอดเวลาตามอายุของแร่ เครื่องมือไม่ซับซ้อนเหมาะกับการรักษามะเร็งบริเวณผิวตื้น ๆ อำนาจทะลุทะลวงไม่มาก มักจะใช้กับมะเร็งผิวหนัง คอ หน้า เป็นเครื่องที่มีมาก่อนเครื่องไลแนค (LINAC)


เครื่องไลแนค เป็นเครื่องเร่งอนุภาคใช้หลักการให้ไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ซึ่งระดับของพลังงานที่เกิดขึ้น ทำให้ฉายแสงกับมะเร็งได้ทั้งบริเวณที่อยู่ลึกและบริเวณที่อยู่ตำแหน่งตื้น ๆ ได้ ตำแหน่งที่เครื่องโคบอลต์ทำได้ไม่ดีเท่าเครื่องไลแนคคือ มะเร็งที่อยู่ลึก ๆ เช่น มะเร็งสมอง ศรีษะ ลำคอ ต่อมลูกหมาก ปอด เครื่องไลแนคเหมาะกับมะเร็งที่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการความแม่นยำสูง ๆ ผลข้างเคียงจะน้อยกว่าเครื่องโคบอลต์เพราะรังสีจะทะลุทะลวงลงไปยังก้อนมะเร็ง จะไม่ถูกบริเวณผิวหนังด้านบนทำให้เกิดการไหม้หรืออักเสบน้อย สามารถระบุตำแหน่งขอบเขตได้ชัดเจนแม่นยำ


(ข้อมูลและภาพ: หนังสือสยามซีเอ วรสารโรคมะเร็งเพื่อผู้รักสุขภาพ ปีที่ 7 ฉบับที่ 28 ประจำเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2552)

ผมได้รับการรักษาด้วยเครื่องไลแนค ด้วยเหตุผลอย่างไรหมอไม่ได้บอกผม แต่เมื่อได้อ่านหลักการของเครื่องมือก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีอันตราย หลังจากที่มีความกังวลและกลัวในช่วงแรก