วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 18 คีโมเข็มที่ ????? ใครขโมยปอดผมไป (ข่าวร้ายหรือเปล่า : วสันต์ โชติกุล)


      วันที่ 22 เมษายน 2558 ครบ 3 เดือนที่ต้องกลับไปหาหมออีกครั้ง หลังจากหยุดให้เคมีไป 5 เดือน ผมต้องจัดการเอ๊กซ์เรย์และนำฟิลม์ให้หมอพิจารณาด้วยเหมือนเช่นเคย หลังจากที่พยาบาลเรียกชื่อผม ผมเดินเข้าไปหาหมอนั่งลง หมอเปิดแฟ้มประวัติของผมอาจจะเพื่อดูที่ผ่านมาเป็นยังไง และหยุดให้เคมีมานานรึยัง พยาบาลหยิบเอาฟิลม์เตรียมไว้เพื่อให้หมอดู หมอหันไปมองฟิลม์เอ็กซ์เรย์ แล้วพูดว่า
"........." (ผมได้ยินไม่ชัดเท่าไร) พร้อมเอาหูฟังมาตรวจที่หน้าอกช่วงปอดเหมือนเดิม พอหมอตรวจเสร็จ 
ผมเลยถามหมอว่า "เมื่อสักครู่หมอพูดว่ายังไงครับ" 
"มีน้ำที่ปอดขวานิดหนึ่ง" หมอตอบ พร้อมชี้ไปที่ฟิลม์เอกซ์เรย์
ความแตกต่างของปอดที่หายไปบริเวณสี่เหลี่ยมสีแดง
ภาพบน x-ray เมือ 20 มกราคม 2558
ภาพล่าง x-ray เมื่อ 21 เมษายน 2558
ผมมองตามไปที่ฟิลม์เอ็กซ์เรย์ อ้าวปอดเราทำไมมันแหว่งไปงั้นละ (คิดในใจ) ตอนที่ได้ฟิลม์เอ็กซ์เรย์ตั้งแต่ที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้สังเกตุ ดูแต่เรื่องของจุดที่เคยเป็นไม่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงก็ดีใจ เลยถามหมอว่า
"เกิดจากอะไรครับ" 
"ก็คงจากมะเร็งที่เราเป็นอยู่" หมอตอบผม 
"แล้วจะต้องทำไงต่อไปครับ" ผมถามอีก 
"คงต้องดูอาการต่อ" หมอตอบผม
จากนั้นหมอก็นับนิ้วมือเหมือนกับว่านับเดือนที่จะนัดผมอีกครั้ง เสร็จแล้วบอกกับผมว่า
"หมอนัดอีกสามเดือนนะ แต่ถ้าช่วงนี้มีอะไรก็มาหาหมอก่อนก็ได้ แต่ก็ต้องเอ๊กซ์เรย์เอาฟิลม์มาด้วย"

     ผมเดินออกจากห้องตรวจพร้อมคิดว่า อะไรกันนี่ เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว อุตสาห์พยายามคุมอย่างหนึ่ง แต่กลับเกิดอีกอย่างหนึ่ง แล้วน้ำในปอดนี่เป็นยังไง หัวสมองเริ่มคิดปรุงแต่งไปเรื่อย รับแฟ้มจากพยาบาล เดินลงมาที่เค้าท์เตอร์เพื่อยื่นแฟ้มให้ รอเรียกตัวเพื่อรับบัตรนัดหมาย นั่งลงหยิบเอาโทรศัพท์เพื่อถามอาจารย์กู (google) ค้นหาคำว่าน้ำในปอด อ่านอย่างเร็ว ๆ อ้าวไงเป็นงี้ ยิ่งอ่านมาก ยิ่งคิดไปเรื่อย หยุดเก็บโทรศัพท์นั่งนิ่ง ๆ พยายามไม่คิดอะไร ความกลัวเร่ิมเข้ามาเยือน เพราะข้อมูลที่อ่านคร่าว ๆ นั้น "หากมีน้ำในปอดมาก ถึงกับต้องเจาะปอดเลยทีเดียว" แล้วอย่างนี้จะทำยังไง (จริงก็อยากจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำในปอด แต่ยิ่งอ่านแล้วทำใจลำบากครับ)

     blog...นี้คิดอะไรไม่ออกจริง ๆ สับสนว่า ชีวิตที่เกิดมาต้องผจญอะไรมากมายแล้วทำไมเวลาทุกคนไปทำบุญถึงมักอธิษฐานชาติหน้าขอให้ได้เกิดอีก อีกสามเดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้เหมือนกัน (หวังว่า......) ตอนนี้ ผมขอไปทำใจ นั่งท่องพระสูตรนี้ให้คล่องปากขึ้นใจแทงตลอดด้วยความเห็นก่อนนะครับ


วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 17 คีโมเข็มที่ ????? (ประสบการณ์บ้านปันรัก สุราษฏร์ธานี ที่คาดไม่ถึง)



     ครบ 2 ปี “เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง” ถามว่าสุขภาพเป็นอย่างไงบ้าง ตอบ จะว่าแข็งแรงปกติดีก็ไม่ได้ เพราะเราเป็นคนมีโรคที่ทุกคนไม่อยากเป็นอยู่ เอาเป็นว่ายังสามารถปั่นจักรยานทางไกลไปในที่ที่อยากไป และพอมีสติอยู่กับลมหายใจพร้อมธรรมะ พุทธวจน อยู่ตลอดเวลาได้ครับ
      วันที่ 21 มกราคม 2558 ครบกำหนด 2 เดือนหลังจากที่หมอลองหยุดให้เคมี ได้เวลาที่ผมต้องกลับไปหาหมออีกครั้ง ก่อนหน้านั้นผมได้เข้าไปเอ็กซ์เรย์ ตามใบสั่งของหมอเพื่อดูความคืบหน้า ถึงบ้านผมหยิบเอาฟิล์มเก่าก่อนหน้านั้นมาดูแบบคนไม่รู้เทียบกับฟิล์มล่าสุด ในใจก็คิดว่าอย่างน้อยขอให้เป็นข่าวดีบ้าง จากที่ดูด้วยตาตนเอง "จุดต่าง ๆ เปรียบเทียบกันก็ยังคงเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง" ก็ยังดีอย่างน้อยสองเดือนแม้ไม่มีเคมีลงไปยับยั้งคุณมะเร็งก็ไม่ได้เพิ่มเติมไปไหน อันนี้นั่งดูไปคิดไปเอง เอาเป็นว่ารอฟังหมอเพื่อความชัวร์ดีกว่า


      ผมเดินเข้าไปในห้องตรวจ คำถามที่หมอถามเหมือนจะเป็นรูปแบบเดิม ๆ คือ 
"เป็นไงมั้ง" 
"ปกติครับ" ผมตอบ 

หมอก็ขอดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์ หมอจ้องมองดูสักระยะ อาจจะมองด้วยความถ้วนถี่ ในใจของผมเต้นพร้อมคิดว่าหมอจะพูดยังไง สุดท้ายหมอเอ่ยขึ้นว่า 
"ปกติไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ" 

เสร็จแล้วก็เอาหูฟังมาตรวจที่หน้าอกไล่ไปจนถึงบริเวณชายโครงซ้ายขวา แล้วพูดว่า 
"ก็หยุดไปอีกสามเดือน มาตรวจใหม่พร้อมเอ็กซ์เรย์มาด้วยเหมือนเดิมนะ" 
"ในช่วงหยุดให้เคมีนี้ต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการยังไงบ้างครับ" ผมถามหมอ
"ก็ดูว่าเหนื่อย และไอไหม" 

จากนั้นหมอก็ให้ไปรอข้างนอก ผมออกมาข้างนอกด้วยความดีใจ หวังว่าผลตรวจคงเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ รู้แต่ว่าวันนี้เรายังมีลมหายใจ ก็ต้องขอสู้คุณมะเร็งต่อไปอีก
     ขอบคุณกำลังใจจาก ครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนหลาย ๆ คนที่มีให้มา ไม่ว่าจะรู้จัก หรือไม่รู้จัก และที่สำคัญขอบคุณธรรมะ พุทธวจน ที่ทำให้ยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรคงไม่ต้องไปคิดถึง
    
     ผมรู้จักเรื่องราวของ กองทุนบ้านปันรักเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง สุราษฏร์ธานี จากนิตยสารขวัญเรือน /  ปีที่ 45  ฉบับ 1017  เดือน เม.ย.  ปี 2557 ที่พี่ชายนำมาให้อ่านตั้งแต่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งหลังจากการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกไปไม่นาน ด้วยคงคิดว่าเพื่อเป็นกำลังใจ ผมหยิบหนังสือเปิดอ่านคร่าว ๆ ผมคิดว่าก็คงเป็นผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งแล้วต่อสู้กับมะเร็งจนมีชีวิตอยู่ได้นานมากขึ้น เหมือนกับคนอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป แล้วผมก็วางหนังสือเล่มนั้นลง ไม่นานด้วยเหตุปัจจัยอะไรไม่ทราบ ผมรื้อโต๊ะที่ผมเก็บหนังสือต่าง ๆ หนังสือขวัญเรือนเล่มนั้นมันกระทบสายตาของผมอีกครั้ง เสียงของพี่ชายที่เล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ของหนังสือมันวนเข้ามาในหัวอีกครั้ง คราวนี้ผมเปิดอ่านอย่างละเอียด เรื่องราวของ ดร.พัชรพร สกุลพงศ์ ผู้ต่อสู้กับมะเร็ง และอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งแนวคิดที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งผู้ยากไร้ ขอย้ำผู้ยากไร้ จึงได้เกิด กองทุนบ้านปันรักฯ ขึ้น เมื่อผมอ่านจบ สมองแวบแรกขึ้นมา ต้องไป บ้านปันรัก แล้วจะไปยังไง ผมมีโปรแกรมที่จะปั่นจักรยานลงภาคใต้มุ่งสู่หาดใหญ่ เอาหละวางเส้นทางเพื่อให้ถึง บ้านปันรัก ด้วยใจและแรงกายพร้อมจักรยานในที่สุดผมก็มาถึง

     ผมถึง บ้านปันรัก ประมาณเกือบ ๆ จะห้าโมงเย็น ซึ่งเป็นวันที่ 7 ของการปั่นจักรยานลงภาคใต้ บ้านปันรัก มีบริเวณอยู่ภายใน วัดศานติ-ไมตรี ตำบลขุนทะเล อำเภอเมืองสุราษฏร์ธานี ผมมาครั้งนี้โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ในใจคิดเพียงว่าผมอยากมาดูมาเห็นและมาร่วมช่วยเหลือด้วยปัจจัยเพียงเล็กน้อย แม้จะไม่พบกับ อาจารย์ พัชรพร ผู้เป็นแรงบันดาลใจก็ตาม พลันที่ผมลงจากอานจักรยาน รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นภายในบริเวณนี้ สภาพโดยทั่ว ๆ มีอาคารหลังใหญ่อยู่ข้างหน้า 1 หลัง ตบแต่งบริเวณให้ร่มรื่น สบาย น่ารัก ไม่ได้ดูเหมือนกับบ้านพักของผู้ป่วยแต่อย่างใด สักพักมีผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เดินเข้ามาหาผม (ผมทราบภายหลังว่าเป็นแม่บ้านชื่อจัน เป็นชาวพม่า) 
"มาหาใครค่ะ"
"มาบริจาคครับ" ผมแจ้งความจำนง 
"ต้องการผมกับอาจารย์ไหมค่ะ"
"อาจารย์อยู่ไหมครับ ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรครับ"
"อาจารย์อยู่ค่ะ เชิญนั่งรอก่อนข้างในก่อน"
"ขอบคุณครับ"

     ผมยืนรออยู่หน้าอาคารหลังใหญ่ไม่นานผมก็ได้พบกับ อาจารย์ พัชรพร ความปิติเกิดขึ้นในใจ ผมยกมือไหว้น้ำตาคลอเบ้าด้วยความที่ไม่คิดว่าจะได้พบกับบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจที่ผมต้องปั่นจักรยานมาที่นี่ อาจารย์ฯ เชื้อเชิญให้ผมเข้าไปนั่งสนทนาข้างใน ผมแจ้งว่า "มาบริจาคช่วยบ้านปันรัก" พร้อมมอบปัจจัยที่ผมนำติดตัวมาตั้งแต่ปั่นจักรยานวันแรก ให้กับ อาจารย์ฯ ผมเล่าถึงที่มาที่ไป เหตุปัจจัยที่ทำให้ได้มาถึงที่นี่ บทสนทนาต่าง ๆ ได้พรั่งพรูออกมามากมาย ผมได้พูดคุยกับ อาจารย์ฯ หลายอย่างถึงเรื่องราวของ บ้านปันรัก พอสมควร สรุปได้อย่างคร่าว ๆ ว่า 
"บ้านปันรักแห่งนี้จะรับผู้ป่วยมะเร็งยากไร้ ที่เข้ามารับการรักษาฉายแสงและให้เคมี ที่รพ.มะเร็งสุราษฏร์ธานี ซึ่งรับรักษาผู้ป่วยมะเร็ง 7 จังหวัดภาคใต้ (คิดเอาว่าผู้ป่วยมะเร็งจะมากขนาดไหน) เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีภูมิลำเนาอยู่ไกลสะดวกต่อการรับการรักษา ไม่ต้องเดินทางไปกลับ เพื่อให้จบการรักษาก่อนถึงกลับบ้านได้ บอกอย่างนี้เหมือนกับว่าสามารถรับผู้ป่วยได้มาก แต่เดี๋ยวก่อนครับ บ้านปันรักสามารถรับผู้ป่วยได้เพียงแค่ครั้งละ 20 คนเท่านั้นด้วยขีดจำกัดของบ้าน สำคัญคือไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นกับผู้ป่วยที่เข้าพัก และอีกอย่างที่เป็นเป้าประสงค์ของอาจารย์ฯ คือ อยากให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดีกว่าที่รับปริมาณมาก ๆ แล้วไม่ได้อะไรเลย เป็นแค่แหล่งพักพิงธรรมดา"

    ผมได้เดินดูภายในของอาคาร พร้อมการอธิบายจาก อาจารย์ฯ อย่างละเอียด ยิ่งได้เห็นได้ยิน รู้สึกได้เลยว่า บ้านปันรัก แห่งนี้ไม่เพียงแค่เป็นบ้าน แต่เป็นมากกว่านั้น และในอนาคตจะสามารถรองรับผู้ป่วยมะเร็งในระยะสุดท้าย ขณะที่ผมไปถึงนั้น พี่ ๆ ผู้ป่วยยังไม่ได้กลับมาจากการรับการรักษา ซึ่งผมคาดคิดว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็คงจะเป็นลักษณะของผู้ป่วยทั่ว ๆ ไป แต่ผมคาดผิดครับ หลังจากผมได้พบกับพี่ ๆ ที่นี่ทุกคนมีความสุขยิ้มแย้ม ไม่ได้มีลักษณะของผู้ป่วยแต่อย่างใด ผมบอกได้เลยว่า พี่ ๆ ทุกคนโชคดีครับที่ได้อยู่ที่ บ้านปันรัก แห่งนี้ ด้วยความดูแลของ อาจารย์ฯ พัชรพร  ไม่เพียงแค่ได้เดินเยี่ยมชม แต่ผมยังได้รับความสะดวกไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารมื้อค่ำ และสถานที่สำหรับใช้พักร่างกายในคืนนั้ด้วย

  
   หลังจากพักร่างกายได้อาบน้ำรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ผมได้เข้าร่วมนั่งใน ลานเพลิน ของ บ้านปั่นรัก เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ คืนนั้นผมกับพี่ ๆ ที่อยู่ที่ บ้านปันรัก สนทนากันอย่างเหมือนคนรู้จักมักคุ้นกันมานานแสนนาน แม้ผมจะมาที่นี่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เราพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม นี่แหละที่น่าจะเรียกได้ว่า "ธรรมชาติบำบัด โดยเฉพาะทางใจ"  เราคุยกันไม่ได้สนใจในเวลา ซึ่งดูเหมือนมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่สองทุ่มจนเกือบจะสี่ทุ่ม ซึ่งก็สมควรแก่เวลา ที่จะต้องได้รับการพักผ่อนแม้แต่ผมเอง ซึ่งวันรุ่งขึ้นก็ต้องออกเดินทางต่อไป
     ขอบคุณ อาจารย์ พัชรพร สกุลพงศ์  ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมปั่นจักรยานมาสู่ บ้านปันรัก ทำให้ผมได้รู้จักตัวตนของมนุษย์ว่า "เป็นผู้ที่พร้อมที่จะสู้ทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่า เราสามารถปลุกจิตใจที่พร้อมจะสู้นั้นออกมาได้หรือไม่" ผมเดินออกจาก ลานเพลิน ของ บ้านปันรัก ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม อิ่มใจ คืนนั้นผมหลับตาลงนอนด้วยความสุขใจ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเรื่องราวต่าง ๆ ในคำคืนนั้นของพี่ ๆ ทุกคนที่ บ้านปันรัก ยังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ ผมคิดถูกแล้วที่ผมปั่นจักรยานมาที่นี่ 
     ตอนที่ผมไปยื่นใบลาพักร้อนกับคุณสันติ ปราบณรงค์ ผจก.ฝ่ายที่เป็นผู้บังคับบัญชาของผม ผมบอกว่า "ผมจะมาค้นหาตนเอง" และในคืนนั้นผมค้นหาเจอแล้ว ขอบคุณ อาจารย์ พัชรพร สกุลพงศ์ และพี่ ๆ ทุกคนที่บ้านปันรัก ครับ

หมายเหตุ : กองทุนบ้านปันรัก เพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งยังต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก ร่วมกันสนับสนุนกองทุนได้ที่

ชื่อบัญชี : กองทุนบ้านปันรักเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ชื่อธนาคาร : ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนศรีวิชัย บัญชีออมทรัพย์

เลขที่บัญชี : 827-0-296961

Facebook : บ้านปันรักสุราษฏร์ธานี พัชรพร

ผู้ประสานงานโครงการฯ ดร.พัชรพร สกุลพงศ์ โทรฯ 084-4390150, 081-8019435