ครบ 2 ปี “เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง” ถามว่าสุขภาพเป็นอย่างไงบ้าง ตอบ
จะว่าแข็งแรงปกติดีก็ไม่ได้ เพราะเราเป็นคนมีโรคที่ทุกคนไม่อยากเป็นอยู่
เอาเป็นว่ายังสามารถปั่นจักรยานทางไกลไปในที่ที่อยากไป
และพอมีสติอยู่กับลมหายใจพร้อมธรรมะ พุทธวจน อยู่ตลอดเวลาได้ครับ
วันที่ 21 มกราคม 2558 ครบกำหนด 2 เดือนหลังจากที่หมอลองหยุดให้เคมี
ได้เวลาที่ผมต้องกลับไปหาหมออีกครั้ง ก่อนหน้านั้นผมได้เข้าไปเอ็กซ์เรย์
ตามใบสั่งของหมอเพื่อดูความคืบหน้า ถึงบ้านผมหยิบเอาฟิล์มเก่าก่อนหน้านั้นมาดูแบบคนไม่รู้เทียบกับฟิล์มล่าสุด
ในใจก็คิดว่าอย่างน้อยขอให้เป็นข่าวดีบ้าง จากที่ดูด้วยตาตนเอง "จุดต่าง ๆ เปรียบเทียบกันก็ยังคงเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง"
ก็ยังดีอย่างน้อยสองเดือนแม้ไม่มีเคมีลงไปยับยั้งคุณมะเร็งก็ไม่ได้เพิ่มเติมไปไหน
อันนี้นั่งดูไปคิดไปเอง เอาเป็นว่ารอฟังหมอเพื่อความชัวร์ดีกว่า
ผมเดินเข้าไปในห้องตรวจ คำถามที่หมอถามเหมือนจะเป็นรูปแบบเดิม ๆ คือ
"เป็นไงมั้ง"
"ปกติครับ" ผมตอบ
หมอก็ขอดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์ หมอจ้องมองดูสักระยะ อาจจะมองด้วยความถ้วนถี่
ในใจของผมเต้นพร้อมคิดว่าหมอจะพูดยังไง สุดท้ายหมอเอ่ยขึ้นว่า
"ปกติไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ"
เสร็จแล้วก็เอาหูฟังมาตรวจที่หน้าอกไล่ไปจนถึงบริเวณชายโครงซ้ายขวา แล้วพูดว่า
"ก็หยุดไปอีกสามเดือน มาตรวจใหม่พร้อมเอ็กซ์เรย์มาด้วยเหมือนเดิมนะ"
"ในช่วงหยุดให้เคมีนี้ต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการยังไงบ้างครับ" ผมถามหมอ
"ก็ดูว่าเหนื่อย
และไอไหม"
จากนั้นหมอก็ให้ไปรอข้างนอก ผมออกมาข้างนอกด้วยความดีใจ หวังว่าผลตรวจคงเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย
ๆ รู้แต่ว่าวันนี้เรายังมีลมหายใจ ก็ต้องขอสู้คุณมะเร็งต่อไปอีก
ขอบคุณกำลังใจจาก ครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนหลาย ๆ คนที่มีให้มา
ไม่ว่าจะรู้จัก หรือไม่รู้จัก และที่สำคัญขอบคุณธรรมะ พุทธวจน
ที่ทำให้ยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรคงไม่ต้องไปคิดถึง
ผมรู้จักเรื่องราวของ กองทุนบ้านปันรักเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง
สุราษฏร์ธานี จากนิตยสารขวัญเรือน / ปีที่ 45 ฉบับ 1017 เดือน เม.ย. ปี 2557 ที่พี่ชายนำมาให้อ่านตั้งแต่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งหลังจากการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกไปไม่นาน
ด้วยคงคิดว่าเพื่อเป็นกำลังใจ ผมหยิบหนังสือเปิดอ่านคร่าว ๆ ผมคิดว่าก็คงเป็นผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งแล้วต่อสู้กับมะเร็งจนมีชีวิตอยู่ได้นานมากขึ้น
เหมือนกับคนอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป แล้วผมก็วางหนังสือเล่มนั้นลง
ไม่นานด้วยเหตุปัจจัยอะไรไม่ทราบ ผมรื้อโต๊ะที่ผมเก็บหนังสือต่าง ๆ
หนังสือขวัญเรือนเล่มนั้นมันกระทบสายตาของผมอีกครั้ง เสียงของพี่ชายที่เล่าเรื่องราวคร่าว
ๆ ของหนังสือมันวนเข้ามาในหัวอีกครั้ง คราวนี้ผมเปิดอ่านอย่างละเอียด เรื่องราวของ
ดร.พัชรพร สกุลพงศ์ ผู้ต่อสู้กับมะเร็ง และอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน
พร้อมทั้งแนวคิดที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งผู้ยากไร้ ขอย้ำผู้ยากไร้ จึงได้เกิด กองทุนบ้านปันรักฯ ขึ้น
เมื่อผมอ่านจบ สมองแวบแรกขึ้นมา ต้องไป บ้านปันรัก แล้วจะไปยังไง
ผมมีโปรแกรมที่จะปั่นจักรยานลงภาคใต้มุ่งสู่หาดใหญ่ เอาหละวางเส้นทางเพื่อให้ถึง บ้านปันรัก ด้วยใจและแรงกายพร้อมจักรยานในที่สุดผมก็มาถึง
ผมถึง บ้านปันรัก ประมาณเกือบ ๆ จะห้าโมงเย็น ซึ่งเป็นวันที่ 7 ของการปั่นจักรยานลงภาคใต้
บ้านปันรัก มีบริเวณอยู่ภายใน วัดศานติ-ไมตรี ตำบลขุนทะเล อำเภอเมืองสุราษฏร์ธานี
ผมมาครั้งนี้โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ในใจคิดเพียงว่าผมอยากมาดูมาเห็นและมาร่วมช่วยเหลือด้วยปัจจัยเพียงเล็กน้อย
แม้จะไม่พบกับ อาจารย์ พัชรพร ผู้เป็นแรงบันดาลใจก็ตาม พลันที่ผมลงจากอานจักรยาน
รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นภายในบริเวณนี้ สภาพโดยทั่ว ๆ มีอาคารหลังใหญ่อยู่ข้างหน้า 1
หลัง
ตบแต่งบริเวณให้ร่มรื่น สบาย น่ารัก ไม่ได้ดูเหมือนกับบ้านพักของผู้ป่วยแต่อย่างใด
สักพักมีผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เดินเข้ามาหาผม (ผมทราบภายหลังว่าเป็นแม่บ้านชื่อจัน เป็นชาวพม่า)
"มาหาใครค่ะ"
"มาบริจาคครับ" ผมแจ้งความจำนง
"ต้องการผมกับอาจารย์ไหมค่ะ"
"อาจารย์อยู่ไหมครับ
ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรครับ"
"อาจารย์อยู่ค่ะ เชิญนั่งรอก่อนข้างในก่อน"
"ขอบคุณครับ"
ผมยืนรออยู่หน้าอาคารหลังใหญ่ไม่นานผมก็ได้พบกับ อาจารย์
พัชรพร ความปิติเกิดขึ้นในใจ ผมยกมือไหว้น้ำตาคลอเบ้าด้วยความที่ไม่คิดว่าจะได้พบกับบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจที่ผมต้องปั่นจักรยานมาที่นี่
อาจารย์ฯ เชื้อเชิญให้ผมเข้าไปนั่งสนทนาข้างใน ผมแจ้งว่า "มาบริจาคช่วยบ้านปันรัก" พร้อมมอบปัจจัยที่ผมนำติดตัวมาตั้งแต่ปั่นจักรยานวันแรก
ให้กับ อาจารย์ฯ ผมเล่าถึงที่มาที่ไป เหตุปัจจัยที่ทำให้ได้มาถึงที่นี่ บทสนทนาต่าง
ๆ ได้พรั่งพรูออกมามากมาย ผมได้พูดคุยกับ อาจารย์ฯ หลายอย่างถึงเรื่องราวของ บ้านปันรัก พอสมควร สรุปได้อย่างคร่าว ๆ
ว่า
"บ้านปันรักแห่งนี้จะรับผู้ป่วยมะเร็งยากไร้ ที่เข้ามารับการรักษาฉายแสงและให้เคมี
ที่รพ.มะเร็งสุราษฏร์ธานี ซึ่งรับรักษาผู้ป่วยมะเร็ง 7 จังหวัดภาคใต้
(คิดเอาว่าผู้ป่วยมะเร็งจะมากขนาดไหน) เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีภูมิลำเนาอยู่ไกลสะดวกต่อการรับการรักษา ไม่ต้องเดินทางไปกลับ เพื่อให้จบการรักษาก่อนถึงกลับบ้านได้ บอกอย่างนี้เหมือนกับว่าสามารถรับผู้ป่วยได้มาก แต่เดี๋ยวก่อนครับ
บ้านปันรักสามารถรับผู้ป่วยได้เพียงแค่ครั้งละ 20 คนเท่านั้นด้วยขีดจำกัดของบ้าน สำคัญคือไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นกับผู้ป่วยที่เข้าพัก และอีกอย่างที่เป็นเป้าประสงค์ของอาจารย์ฯ
คือ อยากให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดีกว่าที่รับปริมาณมาก ๆ แล้วไม่ได้อะไรเลย
เป็นแค่แหล่งพักพิงธรรมดา"
ผมได้เดินดูภายในของอาคาร พร้อมการอธิบายจาก อาจารย์ฯ
อย่างละเอียด ยิ่งได้เห็นได้ยิน รู้สึกได้เลยว่า บ้านปันรัก แห่งนี้ไม่เพียงแค่เป็นบ้าน แต่เป็นมากกว่านั้น และในอนาคตจะสามารถรองรับผู้ป่วยมะเร็งในระยะสุดท้าย ขณะที่ผมไปถึงนั้น พี่ ๆ ผู้ป่วยยังไม่ได้กลับมาจากการรับการรักษา
ซึ่งผมคาดคิดว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็คงจะเป็นลักษณะของผู้ป่วยทั่ว ๆ ไป
แต่ผมคาดผิดครับ หลังจากผมได้พบกับพี่ ๆ ที่นี่ทุกคนมีความสุขยิ้มแย้ม
ไม่ได้มีลักษณะของผู้ป่วยแต่อย่างใด ผมบอกได้เลยว่า พี่ ๆ
ทุกคนโชคดีครับที่ได้อยู่ที่ บ้านปันรัก แห่งนี้ ด้วยความดูแลของ อาจารย์ฯ พัชรพร ไม่เพียงแค่ได้เดินเยี่ยมชม
แต่ผมยังได้รับความสะดวกไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารมื้อค่ำ และสถานที่สำหรับใช้พักร่างกายในคืนนั้ด้วย
หลังจากพักร่างกายได้อาบน้ำรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ผมได้เข้าร่วมนั่งใน ลานเพลิน ของ บ้านปั่นรัก เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ คืนนั้นผมกับพี่ ๆ ที่อยู่ที่ บ้านปันรัก สนทนากันอย่างเหมือนคนรู้จักมักคุ้นกันมานานแสนนาน
แม้ผมจะมาที่นี่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เราพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม นี่แหละที่น่าจะเรียกได้ว่า "ธรรมชาติบำบัด โดยเฉพาะทางใจ" เราคุยกันไม่ได้สนใจในเวลา ซึ่งดูเหมือนมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่สองทุ่มจนเกือบจะสี่ทุ่ม
ซึ่งก็สมควรแก่เวลา ที่จะต้องได้รับการพักผ่อนแม้แต่ผมเอง ซึ่งวันรุ่งขึ้นก็ต้องออกเดินทางต่อไป
ขอบคุณ อาจารย์ พัชรพร สกุลพงศ์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมปั่นจักรยานมาสู่ บ้านปันรัก ทำให้ผมได้รู้จักตัวตนของมนุษย์ว่า "เป็นผู้ที่พร้อมที่จะสู้ทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา
ขึ้นอยู่กับว่า เราสามารถปลุกจิตใจที่พร้อมจะสู้นั้นออกมาได้หรือไม่" ผมเดินออกจาก ลานเพลิน ของ บ้านปันรัก ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม
อิ่มใจ คืนนั้นผมหลับตาลงนอนด้วยความสุขใจ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเรื่องราวต่าง ๆ ในคำคืนนั้นของพี่ ๆ
ทุกคนที่ บ้านปันรัก ยังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ ผมคิดถูกแล้วที่ผมปั่นจักรยานมาที่นี่
ตอนที่ผมไปยื่นใบลาพักร้อนกับคุณสันติ ปราบณรงค์ ผจก.ฝ่ายที่เป็นผู้บังคับบัญชาของผม
ผมบอกว่า "ผมจะมาค้นหาตนเอง" และในคืนนั้นผมค้นหาเจอแล้ว ขอบคุณ อาจารย์ พัชรพร สกุลพงศ์ และพี่ ๆ ทุกคนที่บ้านปันรัก ครับ
หมายเหตุ : กองทุนบ้านปันรัก เพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งยังต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก
ร่วมกันสนับสนุนกองทุนได้ที่
ชื่อบัญชี : กองทุนบ้านปันรักเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ชื่อธนาคาร : ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนศรีวิชัย บัญชีออมทรัพย์
เลขที่บัญชี : 827-0-296961
Facebook : บ้านปันรักสุราษฏร์ธานี พัชรพร
ผู้ประสานงานโครงการฯ ดร.พัชรพร สกุลพงศ์ โทรฯ 084-4390150,
081-8019435