เกือบจะครบ 1 ปีที่ให้เคมีมา ผ่านมาได้ยังไง เป็นคำถามที่ผมก็หาคำตอบแบบเข็มขัดสั้นเหมือนกัน
(แหมเริ่มมาก็มุขตลกยุคคาเฟ่เฟื่องฟูเลยนะ) แต่นี้คือโลกแห่งความจริง
คงไม่ใช่ผมแค่คนเดียวที่สามารถผ่านมาได้ คงมีอีกหลาย ๆ คนเช่นเดียวกัน เรื่องราวระหว่างการให้เคมีทั้งร่างกาย
อาการ ต่าง ๆ ของผม ยังคงเหมือนเดิม มีก็แต่ว่าช่วงหลัง ๆ
มานี้ผลของเม็ดเลือดรู้สึกไม่ปกติ โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาว ตั้งแต่เข็มที่ 10 มาเม็ดเลือดขาวไม่เคยถึงเกณฑ์ปกติ
อยู่ระหว่าง 3.8 - 4.0 (เกณฑ์ปกติของผู้ขาย 4.0 - 10.0 x 10^3/uL) แต่ก็ยังให้เคมีอยู่
เรื่องราวที่น่าตื่นเต้นก็มีให้พบเจออยู่พอให้ได้เป็นเรื่องที่น่าจดจำ เช่น
เข็มที่ 12 ขณะที่เคมีในขวดที่ 1 หมดต้องเปลี่ยนเป็นขวดที่ 2 หลังจากเจาะขวดเพื่อให้เคมีไหลตามสายยางเข้าสู่เส้นเลือด ไม่แน่ใจว่าพยาบาลเจาะไม่ดีหรืออย่างไร ตรงส่วนที่เจาะเกิดรั่วต้องใช้พาราฟินอุดไว้ ทำให้ความดันของเลือดมันเกิดการไหลย้อนออกมาสวนทางเข้าไปตามสายยาง เห็นเลือดออกมาขนาดนั้นแทบจะเป็นลม กว่าจะแล้วเสร็จ ตื่นเต้นดี
ผู้คนรอบข้างที่ให้เคมี "พี่คนไข้บางคนที่จบคอร์สการให้เคมีไป ก็ได้แต่ร่ำลา อวยพรกันให้หาย และก็มีคนไข้หน้าใหม่เข้ามาแทน"
ผ่านมาแล้วผ่านไป แล้วจะบอกเล่าเรื่องราวอะไรในบล็อกนี้ละ ตั้งแต่เป็นมะเร็งมาก็เคยได้อ่านหนังสือต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ เคล็ดลับในการจัดการกับชีวิต ของผู้ที่ต้องเผชิญกับโรคมะเร็ง นึกขึ้นได้ว่าเรื่องแบบนี้อาจจะมีคนไข้ที่เป็นคล้าย ๆ เราเอาไปปรับใช้ เพื่อให้อยู่กับมะเร็งได้ ไม่ใช่ซิ เพื่อให้มะเร็งที่มาอาศัยเราอยู่ด้วยกันได้ไปอีกสักระยะ นั่งครุ่นคิดแบบเบลอด้วยสมองที่ตอนนี้อาจจะมีเคมีปะปนอยู่ Where Where is a Where Where สำหรับผมเองก็มีเคล็ดไม่ลับด้วยเหมือนกัน ซึ่งผมใช้หลักลัดสั้นง่าย เพียงแค่ 2 ก.
1. ก.กำลังใจ
ตัวก.แรกสำคัญเป็นอย่างยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด
หากไม่มีกำลังใจ ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ชีวิตเราก็คงผ่านอะไรต่าง ๆ ไม่ได้ ใช่ไหมครับ
(ถามใครหว่า) หลาย ๆ คนคงเคยได้รับคำพูดให้กำลังใจจากเพื่อน จากพี่ น้อง คนรอบข้าง
ยามเมื่อเราประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็น "สู้ ๆ เป็นกำลังใจให้นะ" และอีกหลายวลีเด็ด ๆ
เมื่อเราได้รับคำพูดเหล่านั้น ก็ทำให้ช่วยเสริมสร้างแรงฮึกเหิมให้เราได้ชั่วขณะ
แต่ไม่สามารถทำให้เรายืนหยัดได้นานตราบที่ต้องการได้ "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม"
มีคำกล่าวไว้ แต่เอาเข้าจริง ๆ ชีวิตเราจะอยู่ในสังคมตลอด 24 ชั่วโมงไหม
อย่างน้อย 2 ใน 3 ของวัน เราต้องอยู่ตามลำพังบ้าง ยิ่งเป็นคนที่ไม่เหมือนคนอื่นแล้ว
อาจจะมีเวลาแบบนั้นมากกว่าคนอื่น ที่นี่แหละความครุ่นคิดจะเริ่มวิ่งเข้ามาในสมอง จะวนเวียนอยู่กับความคิดเดิม
ๆ ที่กระวนกระวายกับสิ่งที่เราเผชิญ ย้ำกับโชคชะตา
ที่ทำไมต้องเป็นเกิดแบบนี้กับตัวเรา คนอื่น ๆ ที่ใช้ชีวิตแย่ ๆ
กว่าทำไมถึงอยู่แบบไม่ต้องเผชิญกับโรคร้าย (ซึ่งผมก็เคยเป็นแบบนั้น และคิดว่าหลาย
ๆ คนก็เป็นเช่นเดียวกัน) สุดท้ายความหดหู่ ความท้อแท้ จะเกิดขึ้น จนหมดกำลังใจ
ไม่อยากที่สู้ต่อไป
ส่วนใหญ่มักจะพูดว่าเป็นมะเร็งต้องสู้โรคนี้ด้วยใจ คำว่าใจนี่แหละจะเป็นใจของใครไม่ได้นอกจากเป็นใจของคนที่เป็นโรคมะเร็ง ฉะนั้นกำลังใจที่ดีนั้นต้องมาจากตัวเราเองที่เราจะต้องสร้างขึ้นให้ได้ พูดง่ายแต่ปฏิบัติยาก แล้วสร้างกำลังใจให้กับตนเองอย่างไร วิธีการสร้างกำลังใจก็มีมากมาย
"การปรับเปลี่ยนมุมมอง ให้คิดในแง่บวก"
"มองหากิจกรรมใหม่ ๆ ทำ"
ซึ่งก็แล้วแต่เทคนิคใครที่นำมาใช้กับช่วงเวลานั้น
ๆ แต่สำหรับผม ผมใช้ธรรมะในการสร้างกำลังใจ
และดำเนินชีวิต ครับ หากใครได้ติดตามอ่านมาตั้งแต่แรก ก็จะทราบว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปเพราะธรรมะของพระพุทธเจ้า “พุทธวจน”
และดำเนินชีวิต ครับ หากใครได้ติดตามอ่านมาตั้งแต่แรก ก็จะทราบว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปเพราะธรรมะของพระพุทธเจ้า “พุทธวจน”
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า เข้าใจธรรมเพียงบทเดียว ก็เพียงพอ ดังพุทธพจน์ที่แสดงไว้ แล้วธรรมใดหละที่จะทำให้เกิดการสร้างกำลังใจ อนิจจัง ฟังดูแล้วก็แค่ธรรมดา ไม่เห็นจะยากสักเท่าไร แล้วจะสร้างกำลังใจให้เราอย่างไร ก็คือพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นอนิจจัง
(แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/buddha2600/2012/12/21/entry-1)
ซึ่งหากพิจารณาความเป็นอนิจจังของขันธ์ ๕ จะช่วยทำให้ใจเฉย ๆ กับชีวิตได้ และเราก็ต้องดำเนินไปตามกรรมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
เราหนีกรรมนั้นไม่ผล และไม่ต้องไปเที่ยวหาทางแก้กรรม
บางคนอาจจะบอกว่าเป็นมะเร็งก็เพราะกรรม ในความคิดผมถูกครับ เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เช่นกัน
ปัจจัยของเจตนาที่ทำให้เราเป็นมะเร็ง
ก็มีตั้งแต่ การกินอาหารที่เสี่ยง ภาวะแวดล้อมที่เราอยู่ หรือแม้แต่ภาวะความเครียด
ซึ่งเป็นเจตนาของเราเป็นผู้ทำเองทั้งนั้น เมื่อรู้ว่าเป็นกรรม ทำให้คนเรายิ่งคิดจะหาทางแก้กรรม ที่ทำและเห็นกันบ่อย ๆ เช่น หาหมอดู นอนในโลง สเดาะเคราะห์ ฯลฯ เพราะเรายังไม่เข้าใจในเรื่องกรรม จึงต้องทำอย่างนั้น แต่หากจะพ้นจากกรรมพระพุทธเจ้าก็ทรงบอกเรื่อง แก้กรรม ไว้เช่นกันคือ
ภิกษุทั้งหลาย !
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?ภิกษุทั้งหลาย !
อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง
คือ กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ)สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ)สัมมาสติ (ความระลึกชอบ)สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)
สุดท้ายสิ่งที่เราไม่สามารถหนีพ้นได้ก็คือ ความเกิด
แก่ เจ็บ ตาย เมื่อเราพิจารณาได้ขนาดนี้แล้ว ฉะนั้น
เราก็จะไม่ยี่หระกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา
เหมือนกับเราได้เตรียมตัวล่วงหน้า ซึ่งดีกว่าคนอื่นที่อาจจะไม่ได้เตรียมตัวด้วยซ้ำ
และพิจารณาใคร่ครวญถึงธรรมอันเหมาะสมสำหรับผู้เจ็บไข้อยู่ตลอดเวลา คือ
2. ก.กำลังกาย
ก.ข้อที่ 2 มีทั้ง อาหาร และ ออกกำลังกาย ก.กำลังกาย นี้ อะไรที่ให้ร่างกายเราพอที่จะมีแรงสู้กับเคมีได้
นั้นก็คือ อาหาร คนไข้มะเร็งหลายคนหลังจากให้เคมีมาแล้วจะกินอะไรไม่ค่อยได้
ผมก็เช่นกันโดยเฉพาะในช่วงเคมีเข็มแรก ๆ ช่วงนั้นต้องทำใจครับและฝืนสุด ๆ
กินอะไรได้กินเข้าไปก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากัน เมื่อมีอาหารเข้าไปพลังงานก็จะมา จริง
ๆ แล้วสอบถามหลาย ๆ คน ที่เคยถามพยาบาลและหมอ ก็ไม่ได้ห้ามว่าต้องงดอย่างโน้นอย่างนี้ กินได้ปกติเหมือนกันคนทั่ว ๆ ไป
แต่เนื่องจากข้อมูลมีมากมาย ฉะนั้นเป็นตัวเราเองเท่านั้นที่จะพิจารณา ทำอะไรก็ได้ให้ร่างกายเราสบายไม่เคร่งครัดจนเกินไป
ทำให้พอดี สำหรับผมเองสิ่งที่ผมทำอยู่เกี่ยวกับอาหารการกินผมปฏิบัติตัวอย่างนี้คือ
อาหารเสริม และวิตามิน : นมเอนชัวร์, วิตามินซี, อี, บีรวม, โค-เอนไซม์คิวเทน, ซีลิเนียม, โฟลิค แอซิค, เบต้าแคโรทีน, สปอร์เห็ดหลินจือแดง (อันนี้ต้องขอบคุณกัลยาณมิตรที่ดีขออนุญาตเอ่ยนาม คุณณีรนุช วรรณบูรณ์ ที่แนะนำพร้อมพยายามให้ทาน และก็มีผลต่อร่างกายจริง ๆ)
น้ำผักผลไม้ปั่น : น้ำย่านาง ชาทุเรียนเทศ น้ำปั่นผลไม้ที่แชร์กันมาทางอินเตอร์เนทคือ น้ำผักต้านมะเร็ง (ลองไปหาดูในอินเตอร์เนท)
ผลไม้ : กล้วยน้ำว้าเป็นหลัก (โชคดีที่บ้านมีให้กินไม่ขาดครับ)
ดูเหมือนจะกินเยอะเหมือนกัน แต่ก็ยังยึดหลัก ”โภชเนมัตตัญญุตา” และกินเพื่อให้อยู่ได้เท่านั้น กินแบบนี้แล้วใครว่าน้ำหนักลด
เพราะเกือบจะปีแล้วน้ำหนักผมขึ้นจากเดิมกว่า 2 กิโลกรัม
ก. กำลังกาย อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ การออกกำลังกาย ครับ
สำหรับผมไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการปั่นจักรยาน ครับ ขาดไม่ได้จริง ๆ หลังให้เคมีผมพักร่างกายหนึ่งสัปดาห์
จากนั้นเมื่อร่างกายดีขึ้น ผมก็จะปั่นจักรยานอย่างน้อยวันละ 10 กม.
ก็ประมาณครึ่งชั่วโมง ส่วนถ้าเป็นวันอาทิตย์ก็ออกปั่นไปไกลหน่อย 30-50 กม.บ้างแล้วแต่เส้นทาง
และก็มีที่เพื่อนร่วมการปั่นมาชวนไปปั่นไกล ๆ ร่างกายก็ถือว่ายังพอที่มีแรงอยู่บ้างครับ
(อยากรู้ว่าไปไหนมาบ้างติดตามทาง facebook ค้นหา Apisit Net ของผมได้ครับ โปรโมทตัวเองซะงั้น) อย่าให้ขาดนะครับเรื่อง การออกกำลังกาย จะเดิน จะวิ่ง
แล้วแต่กำลังของเราครับ (คนที่แข็งแรงอยู่ก็ออกกำลังกายบ้างก็ดี) ส่วนอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความเครียด มันก็จะหายไปเองครับ เหมือนเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ
ผ่านมาผ่านไปจนเกินโหลแล้วสำหรับการให้คีโมของผม ผลการรักษาก็เพียงแค่ต้านไว้อย่าให้เป็นไปมากกว่านี้เท่านั้น
อย่างที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่ามีพี่คนไข้หลายคนที่จบคอร์สการให้คีโมไปแล้ว
เห็นแล้วก็ดีใจกับพี่ ๆ คนไข้เหล่านั้นที่จะไม่ต้องทนกับอาการของการแพ้ยาเคมี แต่สำหรับผมไม่มีเป้าหมาย
รับมันเข้าไปจนกว่าร่างกายจะทนไม่ได้ตามที่หมอแจ้งให้ผมทราบ หลาย ๆ
ครั้งที่ผมพยายามถามหมอว่า
"ผมหยุดให้คืโมได้ไหม"
สุดท้ายจนผมไม่ต้องถามแล้วจู่ ๆ
เมื่อเข็มที่สิบสี่ (วันที่ 29 ตุลาคม 2557) หมอก็พูดขึ้นมาว่า
"เอายังไงดี" (เอาแล้วไหมละหมายความว่ายังไง)
"ไม่รู้เหมือนกันครับ" ผมตอบหมอ
"หรือว่าจะลองหยุดให้ยา" หมอเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ เหมือนไม่ต้องการคำตอบ
ในใจตอนนั้นผมอึ้งสักครู่ สมองสตั้นไปชั่วขณะ ได้แต่ยิ้ม
"แล้วแต่หมอครับ" ผมบอกออกไป
หมอไม่ตอบอะไร เอาหูฟังมาจิ้มที่หน้าอกไล่ไปจนถึงชายโครง
ประหนึ่งดุจจะฟังเสียงเพลงไม่รู้ว่าเป็นเพลงเศร้าเคล้าน้ำตา หรือว่า เพลงสนุก
เสร็จแล้วเอ่ยต่อว่า
"ให้ยาต่อนะ ไปรอข้างนอก" (อ้าวเมื่อสักครู่ยังบอกว่าจะหยุดยาไงเป็นยังงี้)
ผมเดินออกมาจะถามคำถามหมอก็ไม่รู้จะถามอะไร
นั่งลงรอแฟ้มเอกสารคนไข้ซึ่งเป็นของผมเอง ความคิดเริ่มเกิดขึ้น
เหมือนมีการรีเพลย์เสียงของหมอที่พูดว่า "หรือจะลองหยุดยา" คำถามที่คิดขึ้นได้คือ
หมอเอาอะไรเป็นเกณฑ์ที่ให้ผมหยุดให้เคมี หรือมีเหตุผล (ที่คิดเอาเอง) คือ 1. ไม่รู้จะรักษาด้วยอะไรแล้ว 2. หมดทางรักษาแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่คำถามที่ผุดขึ้นมาเท่านั้น หรือว่าเรามีโอกาสที่จะไม่ต้องให้ยาอีกต่อไป ????????????
หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ (วันที่ 19 พฤศจิกายน 2557) ผมกลับไปหาหมอตามปกติเพื่อเข้ารับการรับยาเข็มที่สิบห้า
เจอหน้าคุณหมอ ผมเอ่ยถามก่อนเลยว่า
"เมื่อครั้งที่แล้วเห็นคุณหมอบอกว่าจะลองหยุดยาอยู่ ต้องทำยังไงครับ"
"ไม่ต้องทำไง ก็หยุดเลย" หมอตอบ
ผมหายแล้วเหรอ ก็ไม่มีอะไรบ่งชี้ (ผมคิดในใจ) สรุปว่าหมอให้ผมหยุดการให้เคมีในครั้งนี้เลย หมอแจ้งว่า
ผมเดินออกจากห้องตรวจด้วยจะดีใจหรือว่าอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเราไม่ต้องทนกับเคมี ในสองเดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องรอดู..... และสู้......กันต่อไป (ก็อยู่มาได้ตั้งหนึ่งปีแล้วนี่)"แล้วหมอจะนัดเป็นระยะ ครั้งนี้พักสองเดือน เมื่อครบกำหนดให้เอ็กซ์เรย์มาให้หมอดูด้วย เพื่อติดตามผล"