โภชเนมัญตัญญุตา
หลายครั้งที่ได้เห็นภาพอาหารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น "สเต๊ก สลัด สารพัดข้าว ไอศกรีม
ข้าวเหนียวมะม่วง ก๊วยเตี๋ยวสุโขทัย" (อันนี้แอบแขวะใครบางคนหน่อย) ที่หลายคนโพสขึ้นในโลกโซเชียลมีเดียยอดนิยม facebook ความรู้สึกอิจฉา และน้อยใจในสิ่งที่คนโพสนั้นกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย สัญญาเก่า
ๆ แบบเดิม ๆ วนเวียนมาเกาะที่จิตเป็นประจำ ทำให้ต้องคิดตลอดว่าทำไมเราไม่เป็นเหมือนคนอื่นจะได้ทำอะไรได้เหมือนคนปกติทั่วไป
สิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นกับเราด้วยเหรอ ก็ได้แต่คิดเท่านั้น เหรียญมีสองด้านเสมอ
เมื่อคิดได้แล้ว ก็ทำได้เพียงแต่ว่า พิจารณาอาหารเป็นปฏิกูล อีกทั้งโภชเนมัญตัญญุตา
(พุทธวจน) เรากินเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ สามารถกินได้ก็ดีกว่าอีกหลาย ๆ
คนที่เป็นแบบเรา
เมื่อผ่านเข็มที่สองมาแล้ว เข็มต่อ ๆ มากลายเป็นว่าเริ่มชินซะแล้วกับกิจวัตรเดิม ๆ (ไหน
ๆ ก็เกริ่นเรื่องกินแล้ว ขอเล่าสักหน่อยกับเรื่องกิน) คือ
สองวันหลังจากให้เคมี ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ ประมาณวันเสาร์-อาทิตย์ (ผมให้เคมีวันพุธ) ช่วงสัปดาห์นี้ก็ไม่อยากจะเอาอะไรเข้าไปในท้อง แต่ยังมีความอยากที่จะกินอยู่ สังเกตุได้จากการที่ได้เห็นภาพของอาหารที่เขียนไปแล้วข้างต้น เพียงแต่กินไม่ลงเท่านั้น สัปดาห์สองเริ่มกินได้บ้างแต่ก็ยังไม่มาก สัปดาห์สามเริ่มมีความอร่อยในรดชาดของอาหารการกิน แต่สัปดาห์ถัดมาก็กลับมาสู่สภาวะเดิมคือต้องไปให้เคมีอีกแล้ว น้ำหนักจากประมาณ 52 กก. ตอนนี้เหลือเพียงประมาณ 50 กก.
ส่วนอาการอื่นที่เคยเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น อาการแพ้ ขมปาก อาการเหล่านี้หายไป
โดยเฉพาะเมื่อผ่านเข็มที่สี่ไปแล้ว แต่ที่เกิดขึ้นคือ อาการปวดเมื่อยตามข้อต่าง ๆ
โดยเฉพาะที่ขา มีแต่อยากจะล้มตัวลงนอนอย่างเดียว เป็นต้นวันที่ยาออกฤทธิ์ ผมก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น ง่วงเหนื่อย
เมื่อยก็นอน เพราะเมื่อมีเกิดขึ้นสุดท้ายมันก็จบและหายไปอยู่ดี
ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไรมาก ปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
รู้แต่เพียงว่าเรายังมีลมหายใจอยู่เท่านั้นเอง
เรื่องใน ห้อง Obs ยังมีอีกหลากหลาย
ผมได้เจอกับ ป้า ที่เป็นมะเร็งคนหนึ่ง อายุค่อนข้างมากแล้ว น่าจะประมาณ 50
ปลาย
ๆ ดูท่าทางจะเป็นคนเข้าวัดเข้าวา
เพราะชุดแต่งตัวที่ ป้า แกใส่มาทุกครั้งคือชุดขาวเหมือนผู้ถือศีล เลยถือโอกาสแลกเปลี่ยนเรื่องของมะเร็งให้กันและกันฟัง
พร้อมทั้งได้พูดคุยเรื่องธรรมะกับ ป้า แกด้วย ป้า เล่าให้ฟังว่า
ป้าเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ตรวจเจอเมื่อปี 51 ไม่รับการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ไปรักษาแพทย์ทางเลือก แถว ๆ จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยความคิดว่าจะหาย ก็เดินทางไปกลับจนรู้สึกไม่ไหวเพราะเหนื่อย กลับมาอีกที่ไปหาหมอ เมื่อต้นปี 57 ตรวจพบเป็นระยะที่ 4 แล้ว อีกทั้งได้ลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง และขั้วปอด ครั้งล่าสุดไปหาหมอก่อนจะมาให้เคมีแต่ไม่เจอหมอที่เคยตรวจ พบหมออีกคน หมอบอกป้าว่า ไม่ต้องไปรักษาหรอกป้า ให้เคมีไปก็ไม่หาย หมอเล่นพูดแบบนี้ก็หมดกำลังใจกันพอดี (อันนี้จากปากป้าแกที่เล่าให้ฟัง)
ผมเลยบอกกับ ป้า ว่า
"แต่ป้าก็โชคดีนะมีชีวิตอยู่ได้ตั้ง 6-7 ปี โดยไม่รักษาอะไรเลย" ล่าสุดที่ผมไปให้เคมีเข็มที่หก
ไม่เห็น ป้า แกมา ไม่แน่ใจว่าจะเป็นยังไง เพราะเข็มก่อนหน้านี้ ป้า ดูท่าทางเหนื่อยมา
ให้เคมีไปถอนหายใจแบบหอบตลอดเวลา ก็หวังว่า ป้า คงจะยังต่อสู้กับมันอยู่นะครับ
(คิดแล้วเศร้า) ฝากเตือนผู้หญิงทั้งหลายนะครับอย่าได้ประมาทกับชีวิต "วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไร...อยู่"
เกริ่นมาซะดราม่าเชียว ยังไม่จบกับเรื่องของ พี่ผลไม้ จากครั้งที่แล้ว
คีโมเข็มที่สามยังคงเจอกับ พี่ผลไม้ ใน ห้อง Obs เหมือนเดิม บอกได้เลยว่ามี พี่ผลไม้ อยู่ไม่มีเหงาแน่นอน แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้าย
(ไม่ใช่อย่างที่คิดครับ) พี่ผลไม้ ให้เคมีเป็นเข็มสุดท้ายแล้ว
จากนั้นก็จะไปฉายแสงตามที่แพทย์แนะนำ บางครั้งการรักษามะเร็งไม่มีตายตัวเหมือนกัน
แล้วแต่กรณีจริง ๆ บางคนอาจจะฉายแสง แล้วมาให้เคมี บางคนอาจจะทั้งสองอย่าง
แต่ทุกอย่างของการรักษาก็อยู่ในความหวาดกลัวของคนที่ไม่อยากจะเป็น แต่สำหรับพวกเราถือว่ามันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ครั้งนี้ พี่ผลไม้ ขึ้นมาให้เคมีช้ามาก ขนาดแกได้คิวพบหมอคนแรก
เนื่องจากผลเลือดจากโรงพยาบาลต้นสังกัดมีเฉพาะผลตรวจการทำงานของตับ
ไม่ได้มีในส่วนของเม็ดเลือด น่าจะเป็นเรื่องสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน
(คนไทยเป็นทุกที่เรื่องสื่อสาร) ทำให้แกต้องเจาะเลือดตรวจใหม่
และรอผลกว่าจะได้ก็เกือบบ่ายสามโมง พอขึ้นมาใน ห้อง Obs ก็เปิดฉากเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงช้า คุยกันไปคุยกันมาก็หันไปคุยถึงพี่อีกคนที่เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 แล้วปล่อยให้มะเร็งมันทำลายเต้าจนยุบลงไป พี่ผลไม้ เล่าให้ฟังว่า
ตอนแรกพี่คนนี้ก็จะไม่ยอมรักษาจะปล่อยให้ตายไปเลย จนมันลามไปที่ปอด ตับ และกระดูก พี่ผลไม้ แกก็อยากรู้เลยขอดูเต้าที่มันหายไป อีกอย่างที่ พี่ผลไม้ สงสัยคือ เวลานอนกับสามี ๆ พี่เค้าไม่รู้เลยเหรอว่าไม่มีเต้านม (เฮ้อดูเรื่องที่ พี่ผลไม้ สงสัย) แต่ตอนนี้พี่คนนี้อาการดีขึ้นมาก บริเวณปอด ตับ ก็ลดลงแล้ว (เพิ่มเติม พี่คนนี้แกเล่าให้ฟังว่าแกต้องใช้ยาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งช่วยในการเคลือบกระดูก ตัวยานี้หมอเป็นคนสั่งให้ ซึ่งทางประกันสังคมไม่นำมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายเพราะเป็นยาบำรุง ไม่ใช่ยารักษา ต้องเสียเงินเอง พี่แกต้องใช้ยานี้ประมาณสองปี ให้พร้อมกับให้เคมี ค่ายาตัวนี้ต่อครั้ง 7,000 บาท เฉลี่ยแล้วก็เดือนละครั้ง จะเป็นเงินเท่าไร แค่ยาชนิดนี้ชนิดเดียว ไม่อยากจะคิดเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็ง)
ส่วนเรื่องของ พี่ผลไม้ นั้นแกเป็นมะเร็งเต้านม พี่ผลไม้ เจอเองใช้มือคลำเอา
ไปหาหมอศิริราชตรวจทั้งคลำทั้งใช้แมมโมแกรมก็หาไม่เจอ จนแกต้องถอดเสื้อชั้นใน
แล้วดึงหัวนมให้หมอคลำดูถึงจะเจอ "มันหลบอยู่ใต้หัวนม" แกพูดจบก็หันมาทางผมบอกว่า
"ไม่อายหรอกอยากเล่าให้ฟัง" ทำเอาหัวเราะกันทั้งห้องอีกครั้ง นี้เป็นเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายเพราะ พี่ผลไม้ แกไม่ต้องมาให้เคมีแล้ว
ความสุขเล็ก ๆ ภายในห้องก็ค่อย ๆ จางหายไป
แต่พวกเรายังเจอหน้า พี่ผลไม้ อยู่ก็ทักทายกันตามประสาถามสารทุกข์สุกดิบกันไป
ก่อนการไปให้เคมีที่ต้องทำเป็นประจำคือ การเจาะเลือด ช่วงหลัง ๆ
ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่น ๆ จะเป็นเหมือนผมรึเปล่า คือ นับวันการเจาะหาเส้นเลือดยากขึ้น จนมีครั้งหนึ่งเข็มที่ห้า
พยาบาลพยายามเจาะเข็มให้เคมี เจาะสองครั้งไม่เข้าเส้นเลือดมีถามว่า
"ห้อยพระมารึเปล่า"
ผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะเจ็บมาก (รู้ไหมว่าพระเครื่อง เป็นวัตตโกตูหลมงคลนะครับ)
พยาบาลที่ทั้งเจาะเลือด และเจาะเข็มให้เคมีจะบอกเป็นประโยคเดียวกันว่า
"เส้นเลือดเวลาเข็มแทงลงไปแล้วมันดิ้นหนีต้องแทงเข็มตาม อีกอย่างเส้นเลือดมันค่อนข้างเล็ก หาไม่ค่อยเจอ"
"หากหาเส้นไม่เจอจะให้เคมียังไง" ผมถามพยาบาล
"ก็ไปเจาะให้เคมีที่ขา" พยาบาลตอบ
โอ้ ไม่อยากจะคิด และก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น อีกสิ่งที่หมอให้ทำหลังจากเข็มที่สามคือ
เอ็กซ์เรย์ปอด ผลเอ็กซ์เรย์ปอด "ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจุดเล็ก ๆ
ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเพิ่มขึ้น หรือลดลง"
ผมเลยถามหมอว่า
"ยังนี้เรียกว่าตอบสนองต่อยาหรือว่ายาไม่มีผลครับ"
"อาจจะต้องดูจากผล แสกนอีกที่นะว่าจะเป็นอย่างไร" หมอบอก
"แล้วผมจะหยุดให้ยาอย่างไง" ผมถามต่อ
"มี 2 กรณีคือ 1 ให้เคมีแล้วไม่ตอบสนอง คือมีการแพร่กระจายไปยังที่อื่นอีก
2 ให้เคมีแล้วตอบสนองแต่ร่างกายไม่รับก็คงต้องหยุดให้เคมี" หมอตอบผม
ผมมองของผมเองว่าที่ผมเข้าข่ายคือกรณีที่สอง เพราะให้เคมีแล้วไม่ได้แพร่กระจายไปที่อื่นดูที่ปอดเป็นหลัก ผมมีการตอบสนองต่อยาดูจากสภาพร่างกายก็ไหว คงต้องให้ไปเรื่อย ๆ หมอยังบอกอีกว่า "แต่ยาก็มีจุด ๆ หนึ่งคือคงให้ไปตลอดไม่ได้" เข็มที่หกหมอจะมีการประเมินคือต้อง CT scan ผมยังคิดว่านี้เป็นเข็มสุดท้าย แต่ถึงตอนนี้แล้วคงต้องให้มันเป็นไป
ชะตากรรมของผมจะเป็นยังไง ไม่สามารถคาดเดาได้ อีกครั้งที่ต้องทำชีวิตให้อยู่กับปัจจุบัน
ไม่ต้องคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง นอนหลับแล้วตื่นขึ้นพร้อม "ลมหายใจที่ยังระลึกได้อยู่เสมอ"
หากเมื่อวันนั้นมาถึงผมก็คงพร้อมที่จะเผชิญ