“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เพื่อรอคอยการทำกาละ” พุทธวจน
วันที่ 2 มกราคม 2557 เป็นวันที่ผมได้รับการนัดหมายครั้งแรกหลังจากที่ทราบว่าภัยได้คุกคามไปที่ปอด ที่สถานพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ (เริ่มปีใหม่ก็ต้องหาหมอเลย) ผมไปพบกับหมอที่ให้การรักษาการฉายรังสี
ไม่ได้มีอะไรใหม่เพราะ ข้อมูลยังไปไม่ถึง หมอก็ได้เพียงแค่การพูดคุยเท่านั้น
และนัดหมายใหม่ให้ผมได้รับคำปรึกษาการรักษาแบบเคมีบำบัด อีกสองอาทิตย์ถัดไป
วันที่ 16
มกราคม
2557 ผมกลับมาที่สถานพยาบาลฯ เป็นครั้งที่สอง ในใจคิดไว้แล้วว่าวันนี้แหละที่จะได้รับรู้ความรู้สึกของคนไข้มะเร็งที่ได้รับเคมี
ที่ผ่านมามีแต่ค้นหาและอ่านวิธีการรักษา ผลข้างเคียง ในโลกดิจิตอล ทำใจมาล่วงหน้าแล้วว่า
เป็นไปตามเหตุปัจจัย หมอที่ให้คำปรึกษาการบำบัดทางเคมีเป็นหมอผู้หญิง เริ่มต้นด้วยการซักประวัติก่อนถามผมว่า
"เป็นอย่างไงบ้าง คนไข้พอทราบอะไรบ้างเกี่ยวกับที่เป็นอยู่"
"ก็เป็นมะเร็งผิวหนังครับ" ผมตอบ หมอตัดบทผมพูดต่อว่า
"พูดกันตรง ๆ ค่อนข้างรุนแรงนะ" (เอาแล้วไหมละเปิดฉากหมอก็น๊อกผมทันที) พร้อมทั้งดูสรุปจากการตรวจ เอ็กซ์เรย์ และ CT scan และแจ้งว่า
"ก็คงต้องรับการรักษาเคมี ซึ่งตัวยาที่ใช้รักษามะเร็งผิวหนังชนิดนี้ในประเทศไทยมีทั้งหมดเพียงสองสูตร จะเป็นการรักษาเพื่อคุมเอาไว้ เปอร์เซ็นต์ของการตอบสนองค่อนข้างน้อยมาก โชคดีถ้ายาคุมไว้ได้ แต่ถ้าคุมไม่ได้ก็คงต้องรักษาตามอาการไป จริง ๆ มีสูตรใหม่ ๆ แต่เมืองไทยยังไม่ได้นำเข้ามา ซึ่งถ้านำเข้ามาก็ราคาค่อนข้างแพงมาก แต่การตอบสนองก็ไม่ได้มากขึ้นจากตัวยาเดิมเท่าไรนัก แจ้งให้ที่บ้านทราบรึยัง เพราะเกิดอะไรขึ้นมาจะได้ตั้งตัวทัน" แค่นี้ผมก็ตั้งตัวแทบไม่ทันแล้วกับคำอธิบายของหมอ เลยถามไปว่า
"จะแจ้งหรือใช้คำพูดอย่างไรครับ"
"ก็คงเป็นกรณีที่รักษาไม่หายนะ" หมอบอกจากนั้นก็ให้ผมกลับมาตรวจ CT scan บริเวณท้องช่วงล่างเพิ่มเติม และตรวจเลือดชุดใหญ่ นัดหมายอีกครั้ง วันที่ 29 มกราคม 2557 พร้อมผลต่าง ๆ ผมออกจากห้องตรวจเพื่อรอเอกสาร ส่งข่าวให้กับพี่ ๆ และภรรยาทราบถึงสิ่งที่หมอบอก ในใจก็วนเวียนอยู่กับคำพูดของหมอที่ว่า "รักษาไม่หายนะ"
ภาพซ้าย ฟิลม์ x-ray ธรรมดาสังเกตุภาพปกติจะเป็นสีดำทั้งหมด (ดูด้านซ้ายบน) แต่ส่วนล่างที่ทำเครื่องหมายไว้จะเป็นจุดสีขาว ส่วนภาพขวา ฟิลม์ CT scan ที่วงกลมสีแดงเป็นจุดที่แพร่กระจาย |
วันที่ 29 มกราคม 2557 ตามที่นัดหมายครั้งที่สาม ณ.ที่นี่สถานพยาบาลฯ เอกสารต่าง
ๆ พร้อม ผลตรวจเลือด แต่ไม่มีผล CT scan ผิดพลาดจากการสื่อสารกัน ในใจคิดว่าชีวิตวนเวียนอยู่แต่ที่นี่ 3 ครั้งใน 1 เดือน แต่คิดดูอีกทีก็ดีเหมือนกันว่า ได้เตรียมตัวมาตั้งแต่ต้นเดือน วันนี้ที่มาเลยไม่รู้สึกอะไร ผมพบหมอเช่นเคยพูดคุยกันคล้ายกับวันที่ 16 มกราคม 2557 หลังจากที่พูดถึงว่ามีสูตรที่ให้การรักษาแล้ว หมอแจ้งเพิ่มเติมว่า
"การให้ยามีสองลักษณะคือ ให้ 1 เข็มภายใน 1 วัน กับ ให้ 1 เข็ม 5 วันติดต่อกัน"
"ครั้งเดียวอาจจะมีอาการแพ้มากหน่อย แต่ถ้าทยอยให้ 5 วันก็จะมีอาการแพ้น้อยกว่า" หมออธิบายเพิ่มเติม
"ขอครั้งเดียวครับ" ผมตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
เหตุผลที่ผมเลือกครั้งเดียวเพราะ ไม่อยากนอนที่สถานพยาบาลฯ ซึ่งต้องนอน 5 คืน
ผมคิดในใจว่าหากมีอาการมากอย่างน้อยอยู่ที่บ้านก็คงจะสบายกว่าที่นี่
เมือผมตอบไปอย่างนั้น หมอก็หยิบเอาหนังสือเล่มเล็ก ๆ ขนาดเท่าสมุดโน้ต เปิดออกแล้วพร้อมทั้งใช้เครื่องคิดเลขกดไปมา
คงเป็นการคำนวณจำนวน DOSE ของตัวยา เพราะมีการถามความสูงและน้ำหนักตัวของผมด้วย แล้วเขียนสูตรยาลงไป
"ลักษณะของผมต้องได้รับยากี่เข็มครับ" ผมถามในขณะที่หมอยังคำนวณ DOSE อยู่
"ประมาณ 3-4 เข็ม ดูตามอาการด้วย" หมอตอบ
จากนั้นพยาบาลแจ้งผมว่าให้รอที่ด้านล่าง ผมนั่งรอได้ไม่นาน
"คงต้องนอนที่นี่ 1 คืน (อ้าวไม่อยากนอนแต่ก็ได้นอนจนได้) เพื่อดูอาการหลังการให้เคมี" พยาบาลแจ้ง
"ไม่นอนได้หรือเปล่าครับ ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย" ผมตอบกลับ
"ไม่ต้องเตรียม ยามันแรงเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางไม่คุ้มนะ รักษาชีวิตเราไว้ก่อนดีกว่า" พยาบาลกำชับ
ผมเดินตามบุรุษพยาบาลขึ้นลิฟท์ไปชั้น 6 ที่ห้องเบอร์ห้า มีเสียงพูดจาเบา ๆ....ไม่ใช่ นั่นเพลงสายัณห์เค้า....ห้อง 605 เป็นห้องเตียงคู่ เปลี่ยนชุดคนไข้ ในห้องมี พี่คนหนึ่งที่พักให้เคมีอยู่ พี่เค้าเป็นเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่ ผ่าตัดมาแล้วครั้งหนึ่งเมือ 10 ปีที่แล้ว
ไม่ได้รักษาอะไร และมาผ่าตัดอีกเป็นครั้งที่สอง ให้ยามาแล้ว 4 เข็ม ครั้ง ๆ ละ 5
วัน ผมคิดถูกแล้วที่ให้ครั้งเดียวไปเลย
มิฉะนั้นคงต้องอยู่อย่างที่มีขวดน้ำเกลือผสมยาติดตัวตลอดเวลาทั้ง 5 วัน
"เคสของคนไข้ไม่ต้องนอนพักเปลี่ยนชุดแล้วลงไปรอที่ห้องให้ยาเลยเดี๋ยวพาไปค่ะ" เสียงพยาบาลเรียกผม
ผมดีใจมากรีบเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับชุดเดิม เดินตามพยาบาลไปอีกหนึ่งชั้น
เป็นห้องที่เตรียมไว้สำหรับให้ยาด้านหน้าประตูเขียนไว้ว่า ห้อง Obs พยาบาลเปิดประตูออกผมแทบจะทำตัวไม่ถูก
ไม่ใช่เพราะตกใจสภาพภายในห้อง แต่ตกใจที่ภายในห้องนั้นมีแต่คนไข้ที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด (ย้ำ...ผู้หญิงล้วน) 6-7 คนกำลังให้ยาอยู่
อาการของผมตอนนั้นเหมือนเข้าห้องน้ำผิดยังไงยังงั้น
"เดินไปเลือกเก้าอี้นั่งที่ว่างได้เลยค่ะ" พยาบาลแจ้ง
ผมค่อย ๆ เดินไปอย่างเรียบร้อย สายตาแต่ละคู่ที่จดจ้องมองมาที่ผม เหมือนมองดูตัวประหลาด
คงแปลกใจมั้งที่นาน ๆ จะมีผู้ชายหลงเข้ามาในห้องนี้ (อันนี้ผมคิดเอาเอง)
ผมเดินก้มหน้านั่งลงอย่างเรียบร้อยพร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ คนไข้ทั้งหมดหลังจากมองผมแล้วก็ทำภารกิจของตนเองต่อไป
ผมนั่งลงไม่ถึง 10 นาที พยาบาลอีกชุดก็เตรียมตัวยาพร้อมเข็มเข้ามา กำลังจะเดินมาหาผม
เสียงเรียกชื่อผมก็ตามมาอีกว่า
"คนไข้อภิสิทธิ์ เดี๋ยวก่อนค่ะ คือ ของคนไข้ยังไม่ได้กินยาแก้แพ้ ต้องกินยาแก้แพ้ก่อน 6 ชั่วโมง ถึงจะให้ยาได้ คงต้องกลับไปที่เดิมเพื่อนอนค้าง 1 คืน พรุ่งนี้ค่อยรับยา"
เป็นอันว่าผมต้องกลับไปชั้นเดิมเปลี่ยนชุดคนไข้ นั่ง
นอนรอเวลาต่อไป พยาบาลแซวผมเล่นว่า ขอรับน้องใหม่หน่อยแล้วกัน
(โชคดีนะไม่งั้นคงอ้วกแบบไม่ลืมหูลืมตาแน่ ๆ)
ประมาณหกโมงเย็นพยาบาลก็นำยาแก้แพ้มาให้ชุดแรก 16 เม็ด พร้อมอาหารเย็นซึ่งต้องสั่งกับพยาบาลเองว่าจะทานอะไร โดยพยาบาลจะไปซื้อให้ สำหรับผมเย็นนั้นเป็นข้าวผัดผักรวม เวลาประมาณสองทุ่มพยาบาลก็เข้ามาอีกครั้งพร้อมยาแก้แพ้ชุดสอง 16
เม็ด
มือถืออุปกรณ์ต่าง ๆ มาพร้อม มี เข็มฉีดยา 3 เข็ม ภายในบรรจุยาแก้แพ้ และน้ำเกลืออยู่แล้ว
ขวดน้ำแกลือ 1 ขวด และขวดยาที่ผสมแล้ว 1 ขวด แจ้งว่า
"สี่ทุ่มทานยาแก้แพ้นะค่ะ พรุ่งนี้เช้าประมาณ ตีห้าครึ่งจะเริ่มให้ยา เสร็จก็ประมาณเที่ยงค่ะ"
ผมรับทราบ
ทำได้แค่เพียงรอเวลาเท่านั้น
คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยจะหลับเท่าไร แม้ว่าจะไม่ได้กังวลอะไรมาก แบบว่าอาจจะแปลกที่
ทุกคนก็คงจะเคยเป็น หลับไม่สนิท
ผมตื่นประมาณตีสองครึ่งจากนั้นก็พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง
ยังอิจฉาพี่ที่อยู่ด้วยว่านอนหลับไม่รู้เรื่องเลย พร้อมเสียงอันไม่พึงปรารถนาอีกต่างหาก เวลาก็ช่างดีเหลือเกินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานประตูห้องก็เปิดออกพร้อมแสงไฟ
พร้อมเสียงของพยาบาล "ได้เวลาแล้วค่ะ"
จากนั้นก็เป็นกระบวนการการทิ่มแทงเข้าไปในเส้นเลือด (เขียนให้น่ากลัวไปงั้น ๆ
แหละ) ก็คือเหมือนการให้น้ำเกลือ เจาะเข็มทิ้งไว้
จากนั้นก็ฉีดยาน้ำเกลือเข้าไปและตามด้วยฉีดยาแก้แพ้ และให้น้ำเกลือเข้าไปเต็ม ๆ
ขวดประมาณ 200 ml ประมาณ 15 นาที และก็เป็นน้ำเกลือผสมตัวยาขวดแรก โดยระยะเวลาในการให้ยาขวดนี้ประมาณ 3 ชั่วโมง
และก็จะตามขวดที่สองอีกประมาณ 3 ชั่วโมง (ใครมีความสามารถอ่านลายมือหมอได้บอกผมหน่อยว่าเป็นตัวยาอะไร
พวกหมอนี่แปลก ๆ นะผมว่าไม่รู้กลัวอะไรกับการเขียนให้คนอื่นอ่านออก)
ช่วงเวลาในขณะให้ยานั้น มีอย่างเดียวที่เกิดขึ้นกับผมคือ คอแห้ง ต้องกินน้ำเยอะ ๆ
ผมกินน้ำทั้งหมด 4 ขวด จนจบการให้ยา
นึกสมน้ำหน้าตัวเองอยากเลือกเรียนดีนัก ชอบนัก วิชาเคมี ฉีดมันเข้าไปในเส้นเลือดนี่แหละ เวลากรีดเลือดออกมาจะได้มีสูตรเคมีไหลออกมาด้วย (ประชดแบบสุด ๆ) ผมออกจากสถานพยาบาลประมาณบ่ายโมงเกือบ ๆ บ่ายสอง
ก่อนกลับพยาบาลแนะนำกับผมว่า
"ยาที่ให้นี้มีอาการแพ้คล้าย ๆ คนแพ้ท้อง (ผมไม่ใช่ผู้หญิงจะรู้ไหมเนี่ยว่าผู้หญิงตอนแพ้ท้องมีอาการเป็นอย่างไร) แต่ไม่ค่อยมาก อาการที่เป็นมากคือปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ประมาณ 2-3 วันจะออกอาการ แต่ผมร่วงแน่นอน ให้กินไข่ขาวเยอะ ๆ นะ"
ผมได้รับยาติดมือมากินที่บ้าน 3 ชุด
คือยาแก้แพ้ (ยานี้ไม่มีขายไม่ใช่ยาแก้แพ้แก้อาเจียนทั่ว ๆ ไป) ยาคลายกล้ามเนื้อ
(ยาตัวเนี่ยผมจำได้ว่าผมกินตอนที่ผมปวดหลัง)
และยาคลายเครียดซึ่งก็คือยานอนหลับนั้นเอง เหตุที่ให้ยานอนหลับมาด้วยเพราะ
ยาแก้แพ้แก้อาเจียนที่กินเข้าไปมันจะไปทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ผมได้ฟังสรรพคุณของยาแล้ว
ผมนึกในใจไว้ว่ายังไงผมก็จะไม่กินยาที่ได้มา
(ถึงว่าพี่ที่อยู่ด้วยนอนได้นอนดีเพราะยาที่กินเข้าไปนี่เอง)
ช่วงเวลาที่ผมกลับมาพักฟื้นที่บ้านเป็นเวลาที่ที่ทำงานหยุดตรุษจีนพอดี
อาการที่เกิดภายหลังให้ยาตอนเย็นวันนั้นคือ ลิ้นเริ่มฝาด ๆ แต่ยังไม่มีอาการของการแพ้แต่อย่างใด
ผมยังรับรู้รสชาติของอาหารที่ผมกินเป็นประจำเป็นอย่างดี เป็นจริงตามที่พยาบาลบอก
เข้าวันที่สาม
"ช่วงเช้าเริ่มรู้สึกกับอาการพะอืดพะอม ปากขม ลิ้นเริ่มไม่รับรู้รส กินข้าวได้ 2-3 คำก็ไม่ยากกินแล้ว น้ำลายมันไหลออกมามากไม่อยากกลืนต้องบ้วนทิ้งตลอด นี่ละมั้งที่เป็นอาการของผู้หญิงแพ้ท้อง ตามด้วยอาการเพลียเหมือนจะเป็นลม ต้องล้มตัวลงนอน และตื่นขึ้นมาอีกประมาณ 11 โมง แล้วค่อยมากินข้าวใหม่ แต่ก็กินได้ไม่มาก ยิ่งเป็นข้าวสวยธรรมดากลืนเข้าไปแทบจะระคายคอเหมือนกินทรายยังไงยังงั้น ต้องหันไปกินกล้วย กินส้มแทน ช่วงหัวค่ำประมาณทุ่มหนึ่ง อาการจะกลับมาอีก แต่ครั้งนี้แรงหมดจะเป็นลมให้ได้ ต้องนอนอย่างเดียว รู้สึกเหนื่อย หายใจถี่ พยายามข่มตาให้หลับในใจคิด "ขอให้พ่อกับแม่มารับผมไปด้วยจะได้ไม่ทรมาณไปมากกว่านี้" แล้วก็หลับไป"