วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เมื่อผมรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ตอนที่ 16 คีโมเข็มที่ สิบเอ็ด-สิบสอง-สิบสาม-สิบสี่ (1 ปีผ่านไป เตรียมตัวสู้กันใหม่กับปีถัดไป)

     เกือบจะครบ 1 ปีที่ให้เคมีมา ผ่านมาได้ยังไง เป็นคำถามที่ผมก็หาคำตอบแบบเข็มขัดสั้นเหมือนกัน (แหมเริ่มมาก็มุขตลกยุคคาเฟ่เฟื่องฟูเลยนะ) แต่นี้คือโลกแห่งความจริง คงไม่ใช่ผมแค่คนเดียวที่สามารถผ่านมาได้ คงมีอีกหลาย ๆ คนเช่นเดียวกัน เรื่องราวระหว่างการให้เคมีทั้งร่างกาย อาการ ต่าง ๆ ของผม ยังคงเหมือนเดิม มีก็แต่ว่าช่วงหลัง ๆ มานี้ผลของเม็ดเลือดรู้สึกไม่ปกติ โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาว ตั้งแต่เข็มที่ 10 มาเม็ดเลือดขาวไม่เคยถึงเกณฑ์ปกติ อยู่ระหว่าง 3.8 - 4.0 (เกณฑ์ปกติของผู้ขาย 4.0 - 10.0 x 10^3/uL) แต่ก็ยังให้เคมีอยู่ เรื่องราวที่น่าตื่นเต้นก็มีให้พบเจออยู่พอให้ได้เป็นเรื่องที่น่าจดจำ เช่น 

เข็มที่ 12 ขณะที่เคมีในขวดที่ 1 หมดต้องเปลี่ยนเป็นขวดที่ 2 หลังจากเจาะขวดเพื่อให้เคมีไหลตามสายยางเข้าสู่เส้นเลือด ไม่แน่ใจว่าพยาบาลเจาะไม่ดีหรืออย่างไร ตรงส่วนที่เจาะเกิดรั่วต้องใช้พาราฟินอุดไว้ ทำให้ความดันของเลือดมันเกิดการไหลย้อนออกมาสวนทางเข้าไปตามสายยาง เห็นเลือดออกมาขนาดนั้นแทบจะเป็นลม กว่าจะแล้วเสร็จ ตื่นเต้นดี
ผู้คนรอบข้างที่ให้เคมี "พี่คนไข้บางคนที่จบคอร์สการให้เคมีไป ก็ได้แต่ร่ำลา อวยพรกันให้หาย และก็มีคนไข้หน้าใหม่เข้ามาแทน" 

ผ่านมาแล้วผ่านไป แล้วจะบอกเล่าเรื่องราวอะไรในบล็อกนี้ละ ตั้งแต่เป็นมะเร็งมาก็เคยได้อ่านหนังสือต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ เคล็ดลับในการจัดการกับชีวิต ของผู้ที่ต้องเผชิญกับโรคมะเร็ง นึกขึ้นได้ว่าเรื่องแบบนี้อาจจะมีคนไข้ที่เป็นคล้าย ๆ เราเอาไปปรับใช้ เพื่อให้อยู่กับมะเร็งได้ ไม่ใช่ซิ เพื่อให้มะเร็งที่มาอาศัยเราอยู่ด้วยกันได้ไปอีกสักระยะ นั่งครุ่นคิดแบบเบลอด้วยสมองที่ตอนนี้อาจจะมีเคมีปะปนอยู่ Where Where is a Where Where สำหรับผมเองก็มีเคล็ดไม่ลับด้วยเหมือนกัน ซึ่งผมใช้หลักลัดสั้นง่าย เพียงแค่ 2 ก.
1. ก.กำลังใจ  
     ตัวก.แรกสำคัญเป็นอย่างยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด หากไม่มีกำลังใจ ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ชีวิตเราก็คงผ่านอะไรต่าง ๆ ไม่ได้ ใช่ไหมครับ (ถามใครหว่า) หลาย ๆ คนคงเคยได้รับคำพูดให้กำลังใจจากเพื่อน จากพี่ น้อง คนรอบข้าง ยามเมื่อเราประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็น "สู้ ๆ เป็นกำลังใจให้นะ" และอีกหลายวลีเด็ด ๆ เมื่อเราได้รับคำพูดเหล่านั้น ก็ทำให้ช่วยเสริมสร้างแรงฮึกเหิมให้เราได้ชั่วขณะ แต่ไม่สามารถทำให้เรายืนหยัดได้นานตราบที่ต้องการได้ "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" มีคำกล่าวไว้ แต่เอาเข้าจริง ๆ ชีวิตเราจะอยู่ในสังคมตลอด 24 ชั่วโมงไหม อย่างน้อย 2 ใน 3 ของวัน เราต้องอยู่ตามลำพังบ้าง ยิ่งเป็นคนที่ไม่เหมือนคนอื่นแล้ว อาจจะมีเวลาแบบนั้นมากกว่าคนอื่น ที่นี่แหละความครุ่นคิดจะเริ่มวิ่งเข้ามาในสมอง จะวนเวียนอยู่กับความคิดเดิม ๆ ที่กระวนกระวายกับสิ่งที่เราเผชิญ ย้ำกับโชคชะตา ที่ทำไมต้องเป็นเกิดแบบนี้กับตัวเรา คนอื่น ๆ ที่ใช้ชีวิตแย่ ๆ กว่าทำไมถึงอยู่แบบไม่ต้องเผชิญกับโรคร้าย (ซึ่งผมก็เคยเป็นแบบนั้น และคิดว่าหลาย ๆ คนก็เป็นเช่นเดียวกัน) สุดท้ายความหดหู่ ความท้อแท้ จะเกิดขึ้น จนหมดกำลังใจ ไม่อยากที่สู้ต่อไป

ส่วนใหญ่มักจะพูดว่าเป็นมะเร็งต้องสู้โรคนี้ด้วยใจ คำว่าใจนี่แหละจะเป็นใจของใครไม่ได้นอกจากเป็นใจของคนที่เป็นโรคมะเร็ง ฉะนั้นกำลังใจที่ดีนั้นต้องมาจากตัวเราเองที่เราจะต้องสร้างขึ้นให้ได้ พูดง่ายแต่ปฏิบัติยาก แล้วสร้างกำลังใจให้กับตนเองอย่างไร วิธีการสร้างกำลังใจก็มีมากมาย  
"การปรับเปลี่ยนมุมมอง ให้คิดในแง่บวก" 
"มองหากิจกรรมใหม่ ๆ ทำ" 
ซึ่งก็แล้วแต่เทคนิคใครที่นำมาใช้กับช่วงเวลานั้น ๆ แต่สำหรับผม ผมใช้ธรรมะในการสร้างกำลังใจ
และดำเนินชีวิต ครับ หากใครได้ติดตามอ่านมาตั้งแต่แรก ก็จะทราบว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปเพราะธรรมะของพระพุทธเจ้า “พุทธวจน” 


พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า เข้าใจธรรมเพียงบทเดียว ก็เพียงพอ ดังพุทธพจน์ที่แสดงไว้ แล้วธรรมใดหละที่จะทำให้เกิดการสร้างกำลังใจ อนิจจัง ฟังดูแล้วก็แค่ธรรมดา ไม่เห็นจะยากสักเท่าไร แล้วจะสร้างกำลังใจให้เราอย่างไร ก็คือพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นอนิจจัง 




(แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/buddha2600/2012/12/21/entry-1)
ซึ่งหากพิจารณาความเป็นอนิจจังของขันธ์ ๕ จะช่วยทำให้ใจเฉย ๆ กับชีวิตได้ และเราก็ต้องดำเนินไปตามกรรมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า


เราหนีกรรมนั้นไม่ผล และไม่ต้องไปเที่ยวหาทางแก้กรรม บางคนอาจจะบอกว่าเป็นมะเร็งก็เพราะกรรม ในความคิดผมถูกครับ เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เช่นกัน 
ปัจจัยของเจตนาที่ทำให้เราเป็นมะเร็ง ก็มีตั้งแต่ การกินอาหารที่เสี่ยง ภาวะแวดล้อมที่เราอยู่ หรือแม้แต่ภาวะความเครียด ซึ่งเป็นเจตนาของเราเป็นผู้ทำเองทั้งนั้น เมื่อรู้ว่าเป็นกรรม ทำให้คนเรายิ่งคิดจะหาทางแก้กรรม ที่ทำและเห็นกันบ่อย ๆ เช่น หาหมอดู นอนในโลง สเดาะเคราะห์ ฯลฯ เพราะเรายังไม่เข้าใจในเรื่องกรรม จึงต้องทำอย่างนั้น แต่หากจะพ้นจากกรรมพระพุทธเจ้าก็ทรงบอกเรื่อง แก้กรรม ไว้เช่นกันคือ
ภิกษุทั้งหลาย !
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ? 
ภิกษุทั้งหลาย !
อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง
คือ กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)
สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)
สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ)
สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ)
สัมมาสติ (ความระลึกชอบ)
สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)

สุดท้ายสิ่งที่เราไม่สามารถหนีพ้นได้ก็คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อเราพิจารณาได้ขนาดนี้แล้ว ฉะนั้น

เราก็จะไม่ยี่หระกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา เหมือนกับเราได้เตรียมตัวล่วงหน้า ซึ่งดีกว่าคนอื่นที่อาจจะไม่ได้เตรียมตัวด้วยซ้ำ และพิจารณาใคร่ครวญถึงธรรมอันเหมาะสมสำหรับผู้เจ็บไข้อยู่ตลอดเวลา คือ

(แหล่งที่มา : http://buddhawajana252.blogspot.com/2014/10/blog-post_25.html)
  2. ก.กำลังกาย 
     ก.ข้อที่ 2 มีทั้ง อาหาร และ ออกกำลังกาย  ก.กำลังกาย นี้ อะไรที่ให้ร่างกายเราพอที่จะมีแรงสู้กับเคมีได้ นั้นก็คือ อาหาร คนไข้มะเร็งหลายคนหลังจากให้เคมีมาแล้วจะกินอะไรไม่ค่อยได้ ผมก็เช่นกันโดยเฉพาะในช่วงเคมีเข็มแรก ๆ ช่วงนั้นต้องทำใจครับและฝืนสุด ๆ กินอะไรได้กินเข้าไปก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากัน เมื่อมีอาหารเข้าไปพลังงานก็จะมา จริง ๆ แล้วสอบถามหลาย ๆ คน ที่เคยถามพยาบาลและหมอ ก็ไม่ได้ห้ามว่าต้องงดอย่างโน้นอย่างนี้ กินได้ปกติเหมือนกันคนทั่ว ๆ ไป แต่เนื่องจากข้อมูลมีมากมาย ฉะนั้นเป็นตัวเราเองเท่านั้นที่จะพิจารณา ทำอะไรก็ได้ให้ร่างกายเราสบายไม่เคร่งครัดจนเกินไป ทำให้พอดี สำหรับผมเองสิ่งที่ผมทำอยู่เกี่ยวกับอาหารการกินผมปฏิบัติตัวอย่างนี้คือ
อาหาร : ผมงดเรื่องเนื้อสัตว์ทุกอย่าง มีบ้างในส่วนของเนื้อปลา ข้าวกล้องงอก กับข้าวก็เป็นอะไรที่เป็นเกี่ยวกับผัก อาหารเจ อาหารมังฯ กับน้ำพริกที่เป็นเจ และผัก โดยเฉพาะใบบัวบก มีไข่ขาวเสริมโปรตีน

อาหารเสริม และวิตามิน : นมเอนชัวร์, วิตามินซี, อี, บีรวม, โค-เอนไซม์คิวเทน, ซีลิเนียม, โฟลิค แอซิค, เบต้าแคโรทีน, สปอร์เห็ดหลินจือแดง (อันนี้ต้องขอบคุณกัลยาณมิตรที่ดีขออนุญาตเอ่ยนาม คุณณีรนุช วรรณบูรณ์ ที่แนะนำพร้อมพยายามให้ทาน และก็มีผลต่อร่างกายจริง ๆ)

น้ำผักผลไม้ปั่น : น้ำย่านาง ชาทุเรียนเทศ น้ำปั่นผลไม้ที่แชร์กันมาทางอินเตอร์เนทคือ น้ำผักต้านมะเร็ง (ลองไปหาดูในอินเตอร์เนท)

ผลไม้ : กล้วยน้ำว้าเป็นหลัก (โชคดีที่บ้านมีให้กินไม่ขาดครับ)
ดูเหมือนจะกินเยอะเหมือนกัน แต่ก็ยังยึดหลัก ”โภชเนมัตตัญญุตา” และกินเพื่อให้อยู่ได้เท่านั้น กินแบบนี้แล้วใครว่าน้ำหนักลด เพราะเกือบจะปีแล้วน้ำหนักผมขึ้นจากเดิมกว่า 2 กิโลกรัม

ก. กำลังกาย อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ การออกกำลังกาย ครับ สำหรับผมไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการปั่นจักรยาน ครับ ขาดไม่ได้จริง ๆ หลังให้เคมีผมพักร่างกายหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นเมื่อร่างกายดีขึ้น ผมก็จะปั่นจักรยานอย่างน้อยวันละ 10 กม. ก็ประมาณครึ่งชั่วโมง ส่วนถ้าเป็นวันอาทิตย์ก็ออกปั่นไปไกลหน่อย 30-50 กม.บ้างแล้วแต่เส้นทาง และก็มีที่เพื่อนร่วมการปั่นมาชวนไปปั่นไกล ๆ ร่างกายก็ถือว่ายังพอที่มีแรงอยู่บ้างครับ (อยากรู้ว่าไปไหนมาบ้างติดตามทาง facebook ค้นหา Apisit Net ของผมได้ครับ โปรโมทตัวเองซะงั้น) อย่าให้ขาดนะครับเรื่อง การออกกำลังกาย จะเดิน จะวิ่ง แล้วแต่กำลังของเราครับ (คนที่แข็งแรงอยู่ก็ออกกำลังกายบ้างก็ดี) ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความเครียด มันก็จะหายไปเองครับ เหมือนเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ


     ผ่านมาผ่านไปจนเกินโหลแล้วสำหรับการให้คีโมของผม ผลการรักษาก็เพียงแค่ต้านไว้อย่าให้เป็นไปมากกว่านี้เท่านั้น อย่างที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่ามีพี่คนไข้หลายคนที่จบคอร์สการให้คีโมไปแล้ว เห็นแล้วก็ดีใจกับพี่ ๆ คนไข้เหล่านั้นที่จะไม่ต้องทนกับอาการของการแพ้ยาเคมี แต่สำหรับผมไม่มีเป้าหมาย รับมันเข้าไปจนกว่าร่างกายจะทนไม่ได้ตามที่หมอแจ้งให้ผมทราบ หลาย ๆ ครั้งที่ผมพยายามถามหมอว่า
"ผมหยุดให้คืโมได้ไหม"
สุดท้ายจนผมไม่ต้องถามแล้วจู่ ๆ เมื่อเข็มที่สิบสี่ (วันที่ 29 ตุลาคม 2557) หมอก็พูดขึ้นมาว่า 
"เอายังไงดี"  (เอาแล้วไหมละหมายความว่ายังไง) 
"ไม่รู้เหมือนกันครับ" ผมตอบหมอ
"หรือว่าจะลองหยุดให้ยา" หมอเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ  เหมือนไม่ต้องการคำตอบ
ในใจตอนนั้นผมอึ้งสักครู่ สมองสตั้นไปชั่วขณะ ได้แต่ยิ้ม 
"แล้วแต่หมอครับ" ผมบอกออกไป
หมอไม่ตอบอะไร เอาหูฟังมาจิ้มที่หน้าอกไล่ไปจนถึงชายโครง ประหนึ่งดุจจะฟังเสียงเพลงไม่รู้ว่าเป็นเพลงเศร้าเคล้าน้ำตา หรือว่า เพลงสนุก เสร็จแล้วเอ่ยต่อว่า 
"ให้ยาต่อนะ ไปรอข้างนอก" (อ้าวเมื่อสักครู่ยังบอกว่าจะหยุดยาไงเป็นยังงี้)
ผมเดินออกมาจะถามคำถามหมอก็ไม่รู้จะถามอะไร นั่งลงรอแฟ้มเอกสารคนไข้ซึ่งเป็นของผมเอง ความคิดเริ่มเกิดขึ้น เหมือนมีการรีเพลย์เสียงของหมอที่พูดว่า "หรือจะลองหยุดยา" คำถามที่คิดขึ้นได้คือ 
หมอเอาอะไรเป็นเกณฑ์ที่ให้ผมหยุดให้เคมี หรือมีเหตุผล (ที่คิดเอาเอง) คือ 1. ไม่รู้จะรักษาด้วยอะไรแล้ว 2. หมดทางรักษาแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่คำถามที่ผุดขึ้นมาเท่านั้น หรือว่าเรามีโอกาสที่จะไม่ต้องให้ยาอีกต่อไป ????????????
หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ (วันที่ 19 พฤศจิกายน 2557) ผมกลับไปหาหมอตามปกติเพื่อเข้ารับการรับยาเข็มที่สิบห้า เจอหน้าคุณหมอ ผมเอ่ยถามก่อนเลยว่า 
"เมื่อครั้งที่แล้วเห็นคุณหมอบอกว่าจะลองหยุดยาอยู่ ต้องทำยังไงครับ"
"ไม่ต้องทำไง ก็หยุดเลย" หมอตอบ 
ผมหายแล้วเหรอ ก็ไม่มีอะไรบ่งชี้ (ผมคิดในใจ) สรุปว่าหมอให้ผมหยุดการให้เคมีในครั้งนี้เลย หมอแจ้งว่า
"แล้วหมอจะนัดเป็นระยะ ครั้งนี้พักสองเดือน เมื่อครบกำหนดให้เอ็กซ์เรย์มาให้หมอดูด้วย เพื่อติดตามผล"
ผมเดินออกจากห้องตรวจด้วยจะดีใจหรือว่าอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเราไม่ต้องทนกับเคมี ในสองเดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องรอดู..... และสู้......กันต่อไป (ก็อยู่มาได้ตั้งหนึ่งปีแล้วนี่)