มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกความกลัวคุกคาม เอาแล้ว ย่อมถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง สวนศักดิ์สิทธิ์บ้าง รุกขเจดีย์บ้าง ว่าเป็นที่พึ่งของตนๆ :
นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำความเกษมให้ได้เลย, นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด; ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆ เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้.
ส่วนผู้ใดที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว เห็นอริยสัจทั้งสี่ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือ เห็นทุกข์, เห็นเหตุเป็นเครื่องให้เกิดขึ้นของทุกข์, เห็นความก้าวล่วงเสียได้ซึ่งทุกข์, และเห็นมรรคประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความเข้าไปสงบรำงับแห่งทุกข์ :
นั่นแหละคือที่พึ่งอันเกษม, นั่นคือที่พึ่งอันสูงสุด, ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง ได้แท้.
ธ. ขุ. ๒๕/๓๙/๒๔.
มีกิจกรรมที่จัดขึ้นในบริษัทที่ผมทำงานอยู่ โดยคณะกรรมการสวัสดิการ
คือให้พนักงานรวมตัวกันให้ได้ 10 คนแล้วสามารถไปเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้ มีทริป ๆ หนึ่งที่พนักงานไปที่เดียวกันถึง
2 กลุ่ม เลยเอ๊ะใจว่า "มีอะไรดี" ที่นั่นคือ วัดสมานรัตนาราม
ทราบเบื้องต้นแล้วว่าที่วัดนี้มี พระพิฆเนศองค์ใหญ่ มาก (เคยเห็นป้ายโฆษณาตามป้าย
และใน google) จริง ๆ
วัดนี้เป็นเป้าหมายในการที่จะปั่นจักรยานไปตั้งแต่ที่เคยผ่านการปั่นไป วัดโสธรวรารามวรวิหาร มาแล้ว
โดยตั้งใจไว้ว่าจะปั่นไปปลายปี 55 ฉลองปีใหม่ ที่ผ่านมาแต่มีเหตุปัจจัยเสียก่อน
เป็นไข้ไม่สบาย พอหายก็ประจวบกับเจอ จุดเปลี่ยน ซะ ก็เลยต้องงดไปเลย เมื่อมีเหตุผลข้างต้นจึงทำให้อยากรู้ไปใหญ่
อีกอย่างก็ทำความลำบากให้กับร่ายกายสักหน่อยหลังจากหยุดปั่นยาว ๆ ไปนาน เอาเป็นว่าได้ฤกษ์งามยามดีใหม่
กำหนดวันที่ 12 สิงหาคม 2556 เป็นวันออกเดินทาง
เป็นเพลงสมัยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วผมจำได้ว่าไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ที่ไหนเมื่อไร
เพลงนี้พร้อมกีตาร์ประจำกายจะต้องได้รับการร้องขอให้ร้องเป็นประจำ
มันเป็นอะไรที่สุขใจมาก เมื่อชีวิตได้เป็นอิสระปราศจากพันธนาการใด ๆ แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถทำได้
ภารกิจหลายอย่างทำให้เราต้องติดกับพันธนาการนั้น ๆ เมื่อมีโอกาสก็ทำมันซะ บางคนมีความฝันแต่ไม่สามารถทำตามฝันได้แม้แต่ตัวผมเอง
การเดินทางของผมสิ่งที่ต้องคำนึงถึงให้มากคือเรื่องอาหารการกิน
จะไปโดยคนทั่วไปนั้นสะดวกมาก ตามรายทางมีให้เลือกอย่างมากมาย แต่ผมไม่
(แล้วเราจะหาความยากลำบากให้กับตนเองทำไม เป็นคำถามที่ก้องอยู่ในใจเสมอ
แต่ก็นั้นแหละ ความสนุก ความทรงจำมันอยู่ที่ได้ผ่านความยากลำบากนี้แหละ)
นั่งคิดแล้วเราจะทำอย่างไร
ติโจทย์ออกอย่างเดียวคือต้องบรรทุกสัมภาระที่เราต้องใช้ไปด้วย แล้วมีอะไรบ้างหล่ะ ก็พวกอาหาร
สมัยนี้สะดวกมาก คือ อาหารเจกระป๋อง เป็นอันว่าเราอดตายไปได้
แต่ก็อย่างว่าหาซื้อค่อนข้างยากและมีให้เลือกน้อย
คิดแค่ว่ากินเพื่อไปต่อเท่านั้นก็สบายใจ ส่วนอื่น ๆ ก็หาซื้อเอาข้างหน้าได้
แต่ที่ติดตัวเป็นประจำสำหรับการปั่นตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็คือกล้วยตากอบน้ำผึ้งช่วยได้ไนขณะที่ปั่นและหิว
เอาเป็นว่าเรื่องของกินหมดห่วงไป จากนั้นก็เป็นเรื่องของการหาเส้นทางที่จะใช้
ตัวช่วยก็คือ google นั่นเอง โดยใช้เส้นทางการเดินเท้าใน google
เป็นหลักแล้วค่อยไปปรับแต่งเอาว่าจะไปทางไหน
เส้นทางที่ใช้นี้ก็พยายามหลีกเลี่ยงถนนหลักจะใช้เส้นรอง
แต่ก็เสี่ียงเหมือนกันว่าเส้นทางนั้นจะเป็นอย่างไรเป็นถนนลาดยาง หรือทางดิน
อันนี้บอกไม่ได้ แม้อาจารย์ goo จะให้มุมมองได้แต่ก็ไม่ได้เป็นปัจจุบัน
แต่คิดจะเดินทางแล้วกลัวอะไร เมื่อได้เส้นทางก็จะการบันทึกไว้ใน my place ซึ่งจะ link
เข้าไปไว้ในโทรศัพท์มือถือ
app แผนที่ สามารถเปิดมาดูได้หากว่าหลงทาง หรือจะสะดวกก็ไปสร้างเส้นทางไว้ใน
google earth แล้ว save ไฟล์ เอามา convert ใส่ใน gps พวก garmin
ได้
ผมก็ใช้วิธีนี้แหละ ทุกอย่างพร้อม ร่างกายพร้อมได้เวลาที่จะออกเดินทางแล้ว
ทริบแรกของผมยังแค่ลองไปแบบวันเดียวกลับ ทดสอบพละกำลังของตนเอง
เช้ามืดของวันที่ 12 สิงหาคม 2556 เวลาประมาณ 5:00 น.
ก็ได้เวลาออกเดินทางเป็นเช้าที่สดใสออกมาด้วยกำลังใจที่ฮึกเหิมมาก ปั่นไปตามเส้นทางเรื่อย
ๆ มีหยุดถ่ายรูปบ้างแล้วแต่สภาพของสถานที่ว่าเป็นอย่างไร
แต่อย่างว่ามือใหม่ครั้นจะถ่ายขณะปั่นไปได้ยังไม่ชิน เอาไว้ออกทริปบ่อย ๆ
จะปล่อยภาพให้กระจาย
เส้นทางที่ผมไปใช้เส้นทาง "อ่างเก็บน้ำหนองคล้อ บ้านโค้งดารา
อ่างเก็บน้ำหนองน้ำเขียว บ้านบึง หนองขยาด พนัสนิคม"
ไม่นานเชื่อว่าประเทศไทยจะมีวัดมากมาย และอีกอย่างเส้นทางเล็ก ๆ
ที่ผมผ่านไปมีแหล่งประวัติศาสตร์เล็ก ๆ
(บางคนอาจจะรู้จักแล้ว) ที่ให้ได้เรียนรู้แต่เป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ
ไม่มีผู้คนสนใจเท่าใดนัก แทบจะว่าร้างเลยก็ได้
ผมถึงที่นี้ก็ได้เกือบครึ่งค่อนทางแล้ว พักสักหน่อยไม่ได้เดินเที่ยวชมอะไรมาก
แสงแดดเริ่มจ้ามากขึ้น ยังคงต้องเดินทางต่อไป ออกจากพระธาตุเมืองพระรถ
เส้นทางส่วนใหญ่จะผ่าน นากุ้งซึ่งจะไปตัดกับถนนสุขประยูร
ไปทะลุออกท่าข้าม วิ่งไปหาถนน 3304 ลัดเลาะไปตามนากุ้ง จนถึงดอนทราย
ซึ่งจะไปออกหน้าทางเข้าถนนวัดสมานฯ ผมถึงตรงนี้ประมาณเกือบบ่ายโมง
ไม่น่าเชื่อว่าการสัญจรบนถนนเส้นนี้จะคับคั่งเป็นอย่างมาก ทั้งรถที่จะเข้าไปในวัด
และรถที่วิ่งกลับเข้ากรุงเทพ
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงได้มาที่นี่กันเป็นอย่างมาก
จากถนนตรงนี้ต้องวิ่งเข้าไปตัววัดอีกประมาณ 2-3 กม.เห็นจะได้
แต่รถติดกันเป็นอย่างมาก
น่าเห็นใจสำหรับจักรยานอย่างเราเป็นช่วงที่ได้เปรียบก็ตรงนี้แหละผมถึงบริเวณวัดประมาณ
บ่ายโมงนิด ๆ ระยะทางทั้งสิ้นประมาณเกือบ 90 กม.
ไปชมภาพบรรยากาศกันครับ
ผมได้เห็นแล้วว่าเหตุผลใดที่ผู้คนมากมายถึงได้หลั่งไหลมาที่นี้
ผมทำการซึมซับกับบรรยาการภายในวัดไม่นานแค่ผ่าน และถ่ายภาพเก็บที่ระลึก จากนั้นก็ออกมาหาที่พักร่างกาย
กินข้าว เช็ดหน้าตาสักหน่อยก่อนที่จะเตรียมตัวกลับบ้าน พอให้คลายเหนื่อย
ก็ได้เวลาที่จะเดินทางกลับ ลองนึกตามครับ "ผมออกจากบ้านตีห้า ถึงปลายทางบ่ายโมง
ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง แล้วผมจะถึงบ้านกี่โมง"
ผมใช้เส้นทางเดิมในการเดินทางกลับ แต่ออกนอกเส้นทางไป (หลงนั่นเอง)
ช่วงกลับก็ปั่นไปอย่างเดียวหยุดพักเป็นครั้งคราวพอให้หายเหนื่อย
ปั่นมาถึงบ้านบึงประมาณ 1 ทุ่ม ผมหยุดพักที่ศาลาริมทางอีกครั้ง
เติมพลังด้วย ขนมปัง อีกสักชุดพร้อมน้ำนมข้าวกล้อง 1 กล่อง
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการเคี้ยวอยู่นั้น มีจักรยานคันหนึ่งปั่นมาแวะสอบถามว่า
“เห็นปั่นมาอยู่ดี ๆ นึกว่าเป็นอะไร” ได้พูดคุยกันสอบถามว่าปั่นไปไหน อย่างไร
นี้แหละมิตรภาพของจักรยานแม้แต่เพียงไม่กี่นาที หลังเสร็จภารกิจ
ต้องรีบแล้วเพราะมืดมากเส้นทางที่ผ่านค่อนข้างเปลี่ยว เป็นเส้นทางจากบ้านบึง
วิ่งไปอ่างเก็บน้ำหนองน้ำเขียว เลียบทางจะเป็น สุสาน 2-3 แห่ง
จะเร่งปั่นก็ไม่ได้ก๊อกสองหมดไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ความเร็วช่วงนี้ได้เพียง 13-14 กม./ชม. แต่ก็ผ่านมาใด้ ถึงบ้านสามทุ่ม
เป็นอันว่าทริปแรกผ่านพ้นไปด้วยความระบม แสบร้อนของก้น
รวมระยะทางได้ทั้งหมดก็ 196 กม. แต่ยังไม่เข็ดมีทริปที่สองตามมาไม่นาน รอติดตามต่อครับ