หลายคนสอบถามกับผมว่าเมื่อไรจะมา update บทความให้ได้อ่านอีก
ยังรอติดตามอยู่ ในใจรู้สึกยินดีเล็ก ๆ ว่าสิ่งที่เราเขียนไว้ยังมีคนอ่าน
ยังมีคนที่ติดตาม แม้จะได้ยินเพียง 1-2 เสียงก็ตาม เอาหละเมื่อมีความต้องการ
ก็ต้องตอบสนอง รวบรวม CPU พร้อมกับเเรม
และหน่วยความจำอันน้อยนิดที่มีอยู่ประมวลผล ออกมาได้ดังที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ
ที่ร่วมโลก ร่วมงาน ร่วมชีวิตจะได้อ่านดังต่อไปนี้
"ชีวิตคนเราคือการเดินทาง" มีคำกล่าวไว้เช่นนั้น ซึ่งก็คงจะจริง เริ่มตั้งแต่เป็นเด็กก็ได้เดินทางไปเรียนใช้ชีวิตของเด็ก เป็นวัยรุ่นก็ได้เดินทางเข้าสู่ถนนที่เราจะเลือกไป เป็นผู้ใหญ่เส้นทางที่เดินของชีวิตก็มีทั้งสุขทุกข์คละเคล้ากันไป และทุกเส้นทางที่เราใช้ชีวิตนั้นมีเป้าหมายทั้งสิ้น มีใครเคยคิดไหมว่าเมื่อเราถึงเป้าหมายแล้วในแต่ละเส้นทางจะยังคงต้องเดินต่อไปอีกหรือไม่ สำหรับผมนั้นทุกเส้นทางที่ผ่านมาเมื่อถึงเป้าหมายชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป
เฉกเช่นเดียวกันสำหรับการเดินทางที่ไปถึงเป้าหมายแล้ว นั่นคือ
การรักษาความเป็นมะเร็งของผมได้สิ้นสุดลงไป (ไม่ได้หมายความว่าหายจากโรค) แต่ชีวิตผมยังคงไม่ได้สิ้นสุดไปตาม
ยังคงต้องเดินอยู่ และสู้กับเจ้ามะเร็งไปอีก
(ตั้งแต่ผ่าตัดรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งจนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลา 6 เดือน)
ล่าสุดที่ผมได้รับการตรวจ (ขอบอกว่าเป็นการตรวจไม่ได้รักษา)
ผมไปหาหมอที่ทำการผ่าตัดผม ซึ่งจะนัดทุก ๆ 2 เดือน
คุณหมอได้ให้ผมทำ MRI อีกครั้ง เพื่อดูว่าเจ้าเนื้องอกมันจะงอกงามเจริญเติบโตขึ้นอีกหรือไม่
สิ่งที่เกิดขึ้นในการทำ MRI ครั้งนี้คือ
การฉีดสีเข้าเส้นเลือดของผมในครั้งนี้มันค่อนข้างยากลำบากมาก พยาบาลที่ทำการฉีดสีถึงกับบ่นแล้วบ่นอีกว่าหาเส้นเลือดไม่เจอมันไม่มี ผมต้องบอกกับพยาบาลว่า “ใจเย็น ๆ นะครับเส้นเลือดผมก็เห็นอยู่นะ เจาะให้เลือดก็ไม่ยาก” พยาบาลตอบกลับว่า “ไม่ต้องห่วงคนไข้ เพราะใจเย็นอยู่ ต้องทำแบบนี้อยู่ทุกวัน การฉีดสีมันไม่เหมือนกับเจาะเลือด มันต้องแทงเข็มเข้าไปลึกกว่าการเจาะเลือดอีก เส้นเลือดของคนไข้ที่เป็นมะเร็งมันเหมือนจะเปราะแตกง่าย” (อันนี้ผมไม่เข้าใจความหมายเหมือนกัน) หลังจากที่พยายามอยู่นานก็ผ่านไปได้ เป็นอันว่าวันที่ผมทำ MRI ผมโดนเข็มเจาะเข้าไปสี่เข็ม แขนขวา 2 เข็ม แขนซ้าย 2 เข็ม และเข็มที่เจาะเข้าไปได้ไม่ใช่เข็มธรรมดาด้วยนะ พยาบาลต้องไปหาขนาดของ เข็มที่ใช้ฉีดยาสำหรับเด็กทารก มาฉีดให้ผม คงเพื่อไม่ให้เส้นเลือดผมแตกด้วยเหตุผลดังกล่าว และต้องกดให้เส้นเลือดมันอั้นไว้จนกว่าเข็มจะฉีดสีเข้าไปได้เล่นเอาบริเวณที่โดนเจาะนั้นช้ำไปเลย (เคยสังเกตคนที่ให้คีโม (ตอนไปพบหมอที่สถานพยาบาลมะเร็งกรุงเทพฯ) เหมือนกันว่าบริเวณที่ให้ยาที่เข็มเจาะนั้นจะช้ำมาก จึงถึงบางอ้อด้วยประการเช่นนี้)
สำหรับผลของ MRI นั้นก็ปกติไม่มีอะไรงอกงามเจริญเติบโต
มีเพียงไขสันหลังที่อาจจะเกิดจากการผ่าตัดที่ทำให้เป็นแผลคล้าย ๆ แผลเป็น
(หมอบอกผมเช่นนั้น) ส่วนอี่น ๆ ก็ปกติดีทุกอย่าง คำพูดของหมอในวันที่ผมฟังผล MRI
เป็นอะไรที่ค่อนข้างรู้สึกดีขึ้นสักนิด
คือ เรื่องของจุดที่จะเป็นการทำให้เกิดมะเร็งหมอก็บอกกับผมว่า “ไม่เคยเจอเคสนี้
และก็หาที่มาของมะเร็งไม่ได้ ก็ขอให้เจอแค่ตรงที่ผ่าตัด”
ผมก็ได้แต่หวังเช่นเดียวกับหมอเหมือนกัน
ในส่วนของหมอที่ผมไปรับการรักษามะเร็งแบบฉายแสง
ที่สถานพยาบาลมะเร็งกรุงเทพฯ นั้นจากที่ผมไปพบหมอมาล่าสุดจะเป็นการไป "พบเพื่อดู
และสอบถามอาการ" เท่านั้น ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
"ปกติดี ดูแข็งแรงนะ" หมอพูดกับผม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนหมอจะห่วงคือ เรื่องของ "ปอด" (ไม่ใช่ปอดแหกนะ) เป็นหลักสอบถามถึงอาการไอบ้างหรือไม่
และบอกให้ผมเอกซ์เรย์ปอดด้วย และก็นัดผมใหม่อีกครั้งก็คือ 6 เดือนถัดไป
(หมอคงดูสภาพของผมแล้วคงอยู่ถึงแน่นอน อันนี้ให้กำลังใจตนเองแบบสุด ๆ) เป้าหมายแรกของผมถึงแล้วแต่ยังไม่สิ้นสุดลงยังมีเป้าหมายอื่นอีกที่ยังไม่ได้ทำ
ณ.วันที่ผมสามารถขึ้นบนหลังอานจักรยานได้ ผมก็ออกกำลังด้วยการปั่นจักรยานอยู่เสมอ ผลทางตรงคือเพื่อต่อสู้กับมะเร็ง
ในส่วนของผลทางอ้อมก็เพื่อให้สามารถทำเป้าหมายที่เคยตั้งใจไว้ให้สำเร็จ การปั่นจักรยานมันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งก็ว่าได้
ผ่านไปที่ใดคนก็เขามาทักทาย กลายเป็นว่าเราได้รู้จักคนอีกมากมายในโลกใบนี้ที่เราไม่รู้จักแม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาไม่มาก
แต่ก็เป็นมิตรภาพอีกอย่างหนึ่ง บางคนอาจจะบอกว่าทำไมไม่ใช้รถยนต์ไปไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ชีวิตคนเราส่วนใหญ่ทำอะไรก็จะเร่งรีบเพื่อให้สำเร็จโดยใช้เวลาไม่นาน
และจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ แต่วิถีของจักรยานไม่ใช่ ถึงจุดหมายเหมือนกันแต่ช้ากว่า
ในเวลาที่ช้านี่เองมันทำให้เราได้ครุ่นคิด ไม่ว่าจะความยากลำบาก ความทรมาน
หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะวนเข้ามาในสมองในขณะที่เท้าปั่นไป เมื่อถึงจุดหมายเราก็ยังได้นั่งลงคิดถึงเส้นทางที่ผ่านมา
มันผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันนะ เหมือนกับชีวิตคนเราก็ผ่านอะไรมามากมายนับไม่ถ้วน
ผมตั้งใจไว้ว่าจะเดินทางด้วยจักรยานไปยังสถานที่ต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ลมหายใจ(มะเร็ง)จะยังอยู่
แล้วจะเอามาบอกเล่าให้พี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ ฟัง สลับกับการอยู่ร่วมกับมะเร็งของผม
ในเมื่อขอร้องให้ผมเขียนแล้ว อย่าลืมติดตามกันต่อนะครับ
“วันคืนล่วงไปบัดนี้ทำอะไรอยู่”